ตัวแทนชาวบ้าน 25 เครือข่าย ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ร้องปลด “รมว.ก.ทรัพย์ฯ-รมว.ก.อุตฯ” เหตุหนุนการลงทุนไม่ดูแลประชาชน พร้อมค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องโครงการฯ รุนแรง และให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
วานนี้ (23 ก.พ.2553) เวลาประมาณ 08.00 น.ตัวแทนชาวบ้านจากหลายพื้นที่ที่มีแผนการดำเนินโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กว่า 150 คน นำโดย นางจินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด และนายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม จ.สระบุรี เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ...ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ต.ค.2552
อีกทั้งยังเพื่อทวงถามถึงความคืบหน้าในกรณีที่เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนเคยยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม คัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนดประเภทโครงการหรือกิจกรรม ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง และร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ก่อนหน้านี้
หนังสือที่ยื่นถึงนายก ระบุถึงการที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานทับซ้อนกับคณะกรรมการ 4 ฝ่าย โดยขัดขวางการประกาศบังคับใช้ “รายการโครงการรุนแรง” ของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งจะกำหนดประเภทและขนาดโครงการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ อีกทั้งมีความพยายามล้มร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ โดยเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ขึ้นมาแทน เพราะหวั่นเกรงว่าจะฉุดรั้งทำลายการลงทุน
“เครือข่ายขอประณามการกระทำของส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ที่หนุนหลังรัฐมนตรี ข้าราชการ ในกระทรวงอุตฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ เพราะถือเป็นการกระทำที่เหยียบย่ำดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของคนไทย โดยไม่ยอมทำตามกติกา ไม่มีสำนึกขั้นพื้นฐานในการให้ความคุ้มครองประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรงทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ มุ่งแต่รับผลประโยชน์จากภาคเอกชนและผู้ประกอบการลงทุนเป็นหลัก” นางจินตนากล่าว
ในส่วนของข้อเรียกร้องต่อนายก ประกอบด้วย 1.ขอให้ปลด รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมออกจากตำแหน่ง 2.ขอให้ยกเลิกประกาศกระทรวง เรื่องโครงการหรือกิจการเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ฉบับวันที่ 14 ก.ย.2552 3.ขอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่..) พ.ศ....ไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร่งด่วน4.ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่ทำการพิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ (ตามข้อ 2)
5.ขอให้ระบุโครงการหรือกิจการเหล่านี้จัดอยู่ในประเภทและขนาดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ได้แก่ 1) การทำเหมืองว่าด้วยแร่ทุกขนาด 2) การขุดเจาะน้ำเกลือใต้ดิน และโรงงานประกอบกิจการทำเกลือสินเธาว์ 3) การทำเหมืองหิน และโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการโม่ บด หรือย่อยหิน 4) การขุดลอกดิน กรวด หรือทราย 5) โรงงานถลุงหรือหลอมโลหะ รวมเหล็กหรือเหล็กกล้าที่มีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวันขึ้นไป 6) โรงไฟฟ้าทุกประเภทที่มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป 7) เขื่อนกักเก็บน้ำหรืออ่างเก็บน้ำปริมาตรเก็บกักน้ำตั้งแต่ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่เก็บกักน้ำตั้งแต่ 15 ตร.กม.ขึ้นไป 8) การผันน้ำในลุ่มน้ำหลักหรือข้ามลุ่มน้ำหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอัญชลี วานิช เทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือจากตัวแทนชาวบ้าน และได้ร่วมพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้สะท้อนประเด็นปัญหาในพื้นที่ของตนเอง จากนั้นกลุ่มชาวบ้านได้เดินทางต่อไปที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือให้แก่ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง และสิทธิชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
น.พ.นิรันดร์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องในครั้งนี้ของชาวบ้านว่า การไปยื่นเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถือเป็นการส่งเสียงให้นายกได้รับรู้ ในส่วนของกรรมการสิทธิฯ จะทำหน้าที่ต่อไปในการติดตามการทำงานของนายก รวมทั้งของ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาจทำหนังสือติดตามหรือเชิญมาชี้แจง
น.พ.นิรันดร์ กล่าวด้วยว่า ยังมีชุมชนอีกหลายชุมชนที่ถูกทำลายจากโครงการพัฒนาไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ของมาบตาพุด และในกรณีของมาบตาพุดเองคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ที่ตั้งขึ้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะปัญหามีความหลากหลาย ต่อให้ออกกฎหมายแล้ว แต่การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ข้าราชการยังไม่เห็นหัวชาวบ้าน ชาวบ้านก็ยังคงต้องเดือดร้อนกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องร่วมกันผลักดันการทำความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน ในส่วนเครือข่ายภาคประชาชนจำเป็นต้องตื่นตัว และรวมตัวกันสร้างมาตรฐานการตรวจสอบโครงการอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นมาทำร้ายชุมชน ในฐานะเป็นผู้ตรวจการภาคประชาชน ทำข้อมูลองค์ความรู้ และพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการตุลาการ
ทั้งนี้ องค์กรภาคประชาชนที่ร่วมยื่นหนังสือในครั้งนี้ มีทั้งหมด 25 องค์กร คือ 1.เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม จ.สระบุรี คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง 2.กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด 3.ตัวแทนชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสยามของบริษัท สยามเอนเนอร์จี จำกัด 4.กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก 5.กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง 6.กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก 7.กลุ่มรักบ้านเกิดอ่าวน้อย 8.กลุ่มอนุรักษ์กุยบุรี สามร้อยยอด 9.เครือข่ายติดตามผลกระทบโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา10.เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 11.เครือข่ายผลกระทบนโยบายสาธารณะนครศรีธรรมราช 12.กลุ่มศึกษาการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี นครศรีธรรมราช 13.ชุมชนเครือข่ายผู้รักษ์ลุ่มแม่น้ำนครนายก
14.กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม 15.เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ 3 จังหวัด พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก 16.กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย 17.กลุ่มอนุรักษ์ภูหินเหล็กไฟ จ.เลย 18.ชุมชนลุ่มน้ำสรอย จ.แพร่ 19.เครือข่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการสูบน้ำเกลือใต้ดิน จ.นครราชสีมา 20.กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี 21.กลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง 22.คณะกรรมการผู้ได้รับผลกระทบจากแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จ.อุดรธานี 23.เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากนิคมอุตสาหกรรมหนองแค จ.สระบุรี 24.เครือข่ายอนุรักษณ์ลุ่มน้ำตะกั่วป่า จ.พังงา 25.เครือข่ายคัดค้านการต่อสัญญาเหมืองหินเขาคูหา อ.รัตภูมิ จ.สงขลา
จดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเรื่องคัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ
เขียนที่บ้านเลขที่ 202 หมู่ที่ 2 23 กุมภาพันธ์ 2553 เรื่อง คัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง โครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อ 13 ตุลาคม 2552 เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) อ้างถึง จดหมายเขียนที่บ้านเลขที่ 202 หมู่ที่ 2 ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบฯ ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2552 เรื่อง คัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ เรียนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาจดหมายตามอ้างถึง
ตามอ้างถึงและสิ่งที่ส่งมาด้วย เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องขอคัดค้านประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนด ประเภทโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง และร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่มาครั้งหนึ่งแล้ว จึงต้องการทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามเรื่องที่ได้ร้องเรียนไว้ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 250/2552 และ 18/2553 เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (คณะกรรมการ 4 ฝ่าย) และคณะกรรมการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระ ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการสองเรื่องสำคัญ คือ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อปรับปรุงรายการโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวด ล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (‘รายการโครงการรุนแรง’) และการประสานงานการให้ความเห็นองค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง หรือการจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราวนั้น องค์กรภาคประชาชนตามรายชื่อแนบท้ายหนังสือฉบับนี้ ขอเรียนชี้แจงดังนี้ ประการแรก - มีการดำเนินการซ้อนทับการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย จากส่วนราชการและภาคเอกชนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อไม่ต้องการให้คณะกรรมการ 4 ฝ่าย ประกาศบังคับใช้ ?รายการโครงการรุนแรง? เพราะหวั่นเกรงว่าจะฉุดรั้งทำลายการลงทุน เนื่องจากหากโครงการหรือกิจการประเภทและขนาดใดจัดอยู่ใน ‘รายการโครงการรุนแรง’ แล้วจะต้องให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของ ประชาชนในชุมชน จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และต้องให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและ สุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินโครงการหรือกิจการ ตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้เสียเวลาจนอาจส่งผลต่อการฉุดรั้งหรือทำลายการลงทุนได้ ด้วยการเตรียมการออกประกาศกระทรวงจัดตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยหรือคณะกรรมการ อุทธรณ์โครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้ง ทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่เป็นคณะกรรมการวินิจฉัยว่าโครงการหรือกิจการประเภท และขนาดใดส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องมี ‘รายการโครงการรุนแรง’ ที่กำหนดประเภทและขนาดเอาไว้ก่อนแต่อย่างใด โครงการหรือกิจการประเภทและขนาดใดจะเข้าข่ายส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการวินิจฉัย (ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้แต่งตั้ง) แต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น โดยขาดการมีส่วนร่วมและองค์ประกอบของคณะกรรมการที่มาจากภาคประชาชน หรือถ้าหากไม่สามารถยับยั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ออกประกาศบังคับใช้ ‘รายการโครงการรุนแรง’ ได้ ก็จะออกประกาศกระทรวงให้มีคณะกรรมการอุทธรณ์เพื่อทำหน้าที่ให้ภาคเอกชนผู้ ประกอบการลงทุนอุทธรณ์เข้ามาเพื่อขอให้มีคำสั่ง/ความเห็นว่าโครงการหรือ กิจการที่เข้าข่ายอยู่ใน ‘รายการโครงการรุนแรง’ ไม่ถือว่าส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเพื่อไม่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสองแต่อย่างใด
ประการที่สอง - มีการดำเนินการซ้อนทับการทำงานของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อล้มร่างพระราชบัญญัติองค์การ อิสระตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ... ที่คณะกรรมการ 4 ฝ่าย เป็นผู้เสนอ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ด้วยการยับยั้งร่างกฎหมายดังกล่าวในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ขึ้นมาแทน โดยเพิ่มบางมาตราให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระ (ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้คัดเลือกคณะทำงานจัดตั้งคณะกรรมการองค์การอิสระ) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินโครงการหรือกิจการที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
องค์กรภาคประชาชนตามรายชื่อแนบท้ายหนังสือฉบับนี้ขอประณามการกระทำของส่วน ราชการและภาคเอกชนผู้ประกอบการที่หนุนหลังรัฐมนตรีและข้าราชการในกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการกระทำที่เหยียบ ย่ำดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชนไทย มีพฤติกรรมรับผลประโยชน์โดยมิชอบจากภาคเอกชนผู้ประกอบการลงทุน ไม่ทำตามกติกาทั้งที่ในคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ก็มีตัวแทนของภาครัฐและภาคเอกชนผู้ประกอบการลงทุนอยู่ด้วยแล้ว เป็นข้าราชการและนักการเมืองที่ไม่มีสำนึกพื้นฐานอยู่ที่การรับใช้ประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ แต่กลับมุ่งรับใช้และรับประโยชน์จากภาคเอกชนผู้ประกอบการลงทุนเป็นหลัก
องค์กรภาคประชาชนจึงมีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1. ขอให้ปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมออกจากตำแหน่ง 2. ขอให้ยกเลิกประกาศกระทรวง เรื่อง โครงการหรือกิจการเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2552 เนื่องจากว่าเป็นประกาศที่ออกมาบังคับใช้โดยที่ไม่มีกฎหมายลำดับพระราชบัญญัติฉบับใดให้อำนาจแก่กระทรวงอุตสาหกรรมในการออกประกาศกระทรวงฯ ฉบับนี้ได้ ดังนั้น จึงเป็นประกาศกระทรวงที่ออกโดยผู้ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นประกาศกระทรวงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และห้ามนำประกาศกระทรวงฯ ฉบับนี้ไปเป็นข้ออ้างในการอนุมัติ/อนุญาตโครงการหรือกิจการต่างๆ 3. ขอให้ถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง 4. ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการกฤษฎีกา ชุดหรือคณะที่ทำการพิจารณาร่างกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว (ตามข้อ 2.) เนื่องจากว่ามีพฤติกรรมกระทำการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระฯ ไม่ให้มีความคืบหน้าเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่กลับเร่งรัดผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแทน 5. ขอให้ระบุโครงการหรือกิจการเหล่านี้จัดอยู่ในประเภทและขนาดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมการ 4 ฝ่าย ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอยู่ในขณะนี้ ดังนี้ 5.1 การทำเหมืองว่าด้วยแร่ทุกขนาด (ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510) ทั้งนี้ หากคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ได้ละเว้นโครงการหรือกิจการตามข้อ 5. ไม่เข้าข่ายส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหรือไม่จัดอยู่ใน ‘รายการโครงการรุนแรง’ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ขอให้รัฐบาลหรือคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ทำหนังสือชี้แจงเหตุผลต่อองค์กรภาคประชาชนตามรายชื่อแนบท้ายหนังสือฉบับนี้ ว่าด้วยสาเหตุทางความรู้หรือหลักวิชาการใดจึงได้ละเว้นโครงการหรือกิจการตาม ข้อ 5. ไม่จัดอยู่ใน ‘รายการโครงการรุนแรง’ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ภายใน 30 วัน หลังจากที่รัฐบาลหรือคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้ทำการประกาศบังคับใช้ ‘รายการโครงการรุนแรง’ โดยขอให้จัดส่งหนังสือชี้แจงไปยังที่อยู่ตามด้านบนหนังสือฉบับนี้ด้วย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา (นางจินตนา แก้วขาว) (นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี)
องค์กรภาคประชาชนร่วมยื่นหนังสือฉบับนี้: |