Skip to main content
sharethis

28 ก.พ. 53 -  คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ ต่อกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
กรณีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 7.6 หมื่นบาท ในประเด็นข้อเท็จจริง ซึ่งประกอบด้วย(1) ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี (2) การแปลงสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป (3) แก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงินและโรมมิง (4) กรณีการใช้โครงข่ายร่วม(โรมมิง) (5) กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ (6) กรณีอนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วฟังได้ว่า เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ) เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ป ซึ่งตนเองและผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจมาน) ยังคงไว้ซึ่งหุ้นอยู่ ศาลจึงมติด้วยเสียงข้างมากว่า การดำเนินการกรณีนี้เอื้อประโยชน์ให้กับไทยคมและชินคอร์ป เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคลื่อนไหวตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองโดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ มาอย่างต่อเนื่อง ขอแถลงความเห็นและท่าทีต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้

1.เราเห็นว่า คำพิพากษาในคดีดังกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้อำนาจและการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดแจ้งว่า การบริหารประเทศของทักษิณที่ผ่านมาเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและบริวารเท่านั้น ตอกย้ำถึงพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่นในหลายกรณีที่ผ่านมา ย่อมแสดงถึงธาตุแท้ที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความมุ่งหมายที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเพื่อใช้ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่สร้างกลอุบายที่ชั่วร้าย เพื่อทำลายคุณธรรมในชาติ ทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองไทยอย่างร้ายแรง ตลอดจนมีเจตนามุ่งร้ายทำลายระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ปิดกั้นการตรวจสอบของทุกภาคส่วนเพื่อประโยชน์ของตนเองและบริวาร

ประการสำคัญ คำพิพากษาคดีดังกล่าว ยังชี้เห็นถึงการทำหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการที่เอื้อประโยชน์ต่อนักการเมือง ทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งแม้นจะมีกลุ่มประชาชนที่รู้เท่าทัน ลุกขึ้นมาตรวจสอบนักการเมือง ก็ถูกปิดกั้นการทำหน้าที่ด้วยการปกปิดข้อมูลข่าวสาร ดังนั้น อุทาหรณ์จากคดีดังกล่าว เราขอเรียกร้องต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการว่า จะต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเป็นหลัก ไม่ใช่ปกปิดเหมือนที่ผ่านมา อันจะเป็นการทำหน้าที่ที่สอดคล้อง ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และจะต้องสร้างจิตสำนึกในการทำหน้าที่ของข้าราชการ ในฐานะข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและในฐานะที่จะต้องตอบสนองต่อการบริการและความต้องการของประชาชนอย่างเคร่งครัดอย่างแท้จริง

2.เราเห็นว่า พฤติกรรมมิชอบในการใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองดังกล่าวนี้ ย่อมเชื่อมโยงไปถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลทักษิณเคยใช้มอมเมาประชาชน ทั้งนโยบายประชานิยม อภิมหาโครงการขายฝัน นโยบายแปรูปรัฐวิสาหกิจและกิจการของรัฐ รวมไปถึงการแทรกแซงกลไกราชการและองค์กรอิสระเป็นต้น นโยบายที่เกิดจากการใช้อำนาจและหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองของทักษิณเช่นนี้ เราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะต้องเร่งตรวจสอบโครงการต่างๆ ดังกล่าว เพื่อดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป อันเป็นการดำเนินการสืบเนื่องต่อจากคำพิพากษาของศาล ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาของศาลมีความศักดิ์สิทธิ์ มีสภาพบังคับที่แท้จริง รวมไปถึงการสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องดีงามต่อประเทศ

3.เราเห็นว่า ประโยชน์ที่สำคัญของคำพิพากษาดังกล่าวนี้ ทำให้สังคมได้เห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของนักการเมืองและข้าราชการดังกล่าวได้ทำให้เห็นว่าประเทศต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล อันส่งผลกระทบทำให้รัฐต้องแบกรับภาระขาดงบประมาณ ในการพัฒนาประเทศและดูแลสวัสดิการชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  ขณะเดียวกันสังคมไทยก็โชคดีที่มีกลุ่มประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของนักการเมืองอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น แม้จะถูกขัดขวางจากนักการเมืองและถูกต่อต้านจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่การต่อสู้อย่างทรหดหดอดทนของกลุ่มประชาชนดังกล่าว จึงได้ทำให้สังคมไทยในวันนี้ได้รับรู้เรื่องพฤติกรรมการใช้อำนาจมิชอบและข้อมูลที่ชัดเจนของนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น

ประการสำคัญ ผลจากคำพิพากษาดังกล่าวได้เชื่อมโยงถึงพฤติกรรมของบริษัทกลุ่มทุนต่างๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจแสวงหาประโยชน์ ด้วยการฮั้วประโยชน์กับนักการเมืองและข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเราขอเรียกร้องต่อนักธุรกิจและภาคประชาสังคม จะต้องช่วยกันเปิดเผยและตรวจสอบข้อมูล เพื่อติดตามเอากลุ่มทุนเหล่านี้มาเข้าสู่การดำเนินการกระบวนการยุติธรรมต่อไป รวมไปถึงประชาชนที่เลือกและมอบอำนาจนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศด้วยความยินยอมหรือเพราะถูกมอมเมาด้วยอามิสสินจ้างหรือนโยบายประชานิยมก็ดี โดยไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมืองและข้าราชการชั่ว ไม่ยอมรับฟังข้อมูลข่าวสารอันจะทำให้เกิดความรับรู้ความเข้าใจทางการเมืองที่ถูกต้อง จนทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินงบประมาณจำนวนมาก ก็ต้องทบทวนพฤติกรรมในการทำหน้าที่ของชนชาวไทย ตามระบอบประชาธิปไตยที่จะต้องทำให้เจตนารมณ์ทางการเมืองของตนสอดคล้องกับประโยชน์ของส่วนรวมในการพัฒนาประเทศ ประชาชนต้องหยุดให้การสนับสนุนนักการเมืองเลว

4.เราเห็นว่า คำพิพากษายึดทรัพย์นักการเมืองในคดีประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยดังกล่าวนี้ มีแง่มุมทางวิชาการและเนื้อหาที่น่าสนใจนานัปการ อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและพัฒนาเพื่อยกระดับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในหลายกรณี ดังนั้น ครป.จะได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรประชาธิปไตยต่างๆ เพื่อจัดเวทีเสวนา สาธารณะ “ศึกษาคำพิพากษากรณียึดทรัพย์ทักษิณเพื่อพัฒนาจริยธรรมของนักการเมือง” โดยเร่งด่วน ต่อไป

ท้ายที่สุด เราเห็นว่า ผลของคำพิพากษายึดทรัพย์ในคดีดังกล่าว จะเป็นแค่เพียงการเจาะทะลวงด่านแรกที่มีผลเป็นการเฉพาะตนต่อตัวของทักษิณและครอบครอบครัวเท่านั้น แต่ระบบทักษิณ หรือนักการเมือง หรือกลุ่มทุนที่อาศัยทักษิณโกงกินประเทศชาติ ยังอยู่ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันทำหน้าที่ ในการทำให้แผ่นดินไทยกลับมาสู่ความสงบต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความเป็นธรรมและสันติสุขโดยเร็ว
 
 

ด้วยจิตคารวะและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
 
แถลงโดย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด
รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
28 กุมภาพันธ์ 2553

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net