ภัควดี วีระภาสพงษ์: คนเสื้อแดงต้องสร้างโต๊ะเจรจา..และสร้างคู่เจรจาด้วย

ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาหลายปีในสังคมไทยครั้งนี้ เป็นความขัดแย้งที่ลงรากลึกอีกครั้งหนึ่งและน่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศไทยจนไม่เหมือนเดิมอีก

การรัฐประหารและการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มักเป็นความขัดแย้งและชิงอำนาจกันเองในหมู่ชนชั้นนำ แต่ความขัดแย้งครั้งล่าสุดนี้มีความซับซ้อนและกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง “กลุ่ม” และ “ชนชั้น” ในประเทศ ความซับซ้อนมีมากถึงขนาดว่า ในการวิเคราะห์ความขัดแย้งครั้งนี้ การใช้มโนทัศน์เกี่ยวกับ “กลุ่มทุน” (ทุนใหม่ vs ทุนเก่า) หรือมโนทัศน์เกี่ยวกับ “ชนชั้น” (ชนชั้นปกครอง vs ชนชั้นล่าง) ก็ไม่สามารถอธิบายได้ถ้วนทั่ว

แต่ในที่นี้เราจะยกเรื่องคำอธิบายออกไปก่อนและหันมาดูการเผชิญหน้าท่ามกลางฝุ่นควันแห่งความสับสนที่ตระหลบอบอวล ในการประลองกำลังของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชนชั้นนำแสดงแสนยานุภาพที่กอปรด้วยกองทัพ รัฐบาล สถาบันตุลาการและสถาบันทางอุดมการณ์ที่เก่าแก่ของประเทศ โดยมีหุ่นเชิดคือสื่อมวลชนกระแสหลักและเอ็นจีโอบางส่วน ส่วนฝ่ายคนเสื้อแดงนั้น แม้จะมีชนชั้นนักการเมืองและชนชั้นนำบางกลุ่มหนุนหลังอยู่บ้าง แต่กำลังที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวที่คนเสื้อแดงมีก็คือ “จำนวน” คนรากหญ้าจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะต่อสู้เพราะพวกเขาสูญเสียไปมากมายแล้ว จนไม่นำพาที่จะสูญเสียอะไรก็ตามที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่

ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มีทางจบง่าย ๆ อย่างที่ชนชั้นนำหวังไว้และเคยทำได้มาตลอด อุดมการณ์ที่เคยใช้การได้ดีเริ่มตกอยู่ในสภาพผุพัง ความรุนแรงที่เคยใช้ได้ผลก็เริ่มตกยุคสมัย เศรษฐกิจของประเทศไทยผูกพันอยู่ในวงจรโลกาภิวัตน์เกินกว่าจะเพิกเฉยไม่ดูดายมติสากล ชนชั้นนำไทยจำเป็นต้องก้าวออกมาจากความเคยชินของตัวเอง ความเคยชินของการเป็นฝ่ายชนะกินรวบ ความเคยชินของการได้ทุกอย่างและไม่ยอมเสียอะไรเลย

ไม่มีทางที่อยู่ดี ๆ คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายจะมา “รู้รักสามัคคี” เหมือนในละครไทย สังคมไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความขัดแย้ง เราต้องสร้างโต๊ะเจรจาขึ้นมา โต๊ะเจรจาจะใช้ได้ผล ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องมั่นใจว่า หลังจากนั่งลงเผชิญหน้าบนโต๊ะแล้ว ทั้งคู่จะต้องลุกขึ้นมาได้อย่างมีศักดิ์ศรี ในการเจรจากันนั้น ย่อมไม่มีฝ่ายใดที่ได้ทุกอย่างและเสียทุกอย่าง ชนชั้นนำต้องเรียนรู้ข้อนี้ให้ได้

ตอนนี้คนเสื้อแดงกำลังสร้างโต๊ะเจรจาขึ้นมา โต๊ะเจรจาที่พวกเขาเลือกนำมาใช้คือ การเลือกตั้ง พวกเขายอมถอยก้าวหนึ่งแล้ว โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาและเลือกตั้งบนรัฐธรรมนูญ 2550 แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มเสื้อแดงบางฝ่ายให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ แต่จากข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการนั้น ขบวนการเสื้อแดงยอมถอยให้แล้วก้าวหนึ่ง โดยเรียกร้องแค่การเลือกตั้งบนรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายชนชั้นนำเป็นผู้ร่างขึ้นด้วยรถถังและความรุนแรง

ชนนั้นนำไทยมัวเมาในอภิสิทธิ์ อำนาจ ความมั่งคั่งและเกียรติยศศักดิ์ศรีมาเนิ่นนาน เราจะคาดหวังให้กลุ่มคนแบบนี้ยอมรับการถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้การเจรจาเกิดขึ้นได้อย่างไร? พวกเขาไม่สามารถทำได้หรอก พวกเขาไม่สามารถแปลงร่างเป็นคู่เจรจาที่ดีได้ หนทางเดียวก็คือ คนเสื้อแดงต้องสร้างให้พวกเขากลายเป็นคู่เจรจาขึ้นมา

วลีที่ว่า “โง่ จน เจ็บ” ที่ชนชั้นนำชอบโยนใส่ประชาชนรากหญ้านั้น ความจริงแล้ว ผู้ที่ “โง่ จน เจ็บ” อย่างแท้จริงคือ ชนชั้นนำไทยต่างหาก พวกเขา “โง่” จนมองไม่เห็นความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปรอบตัว ยาก “จน” ข้นแค้นทางความคิดและสติปัญญา “เจ็บ” ป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลชีวิต ใกล้ตายก็ยังไม่รู้ตัว

เมื่อต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามที่ “โง่ จน เจ็บ” แต่กุมอำนาจไว้ในมือเช่นนี้ คนเสื้อแดงจะบรรลุเป้าหมายของตนได้ ก็ด้วยการให้การศึกษาแก่พวกเขาเท่านั้น ฉุดให้พวกเขารอดพ้นจากวังวนของความโง่เขลา ยอมรับความเปลี่ยนแปลงในโลก ยอมสละสูญเสียบางสิ่งบางอย่างบ้าง ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรให้สูญเสียอีกต่อไป

เพียงแต่การให้การศึกษาแก่คน “โง่ จน เจ็บ” เช่นนี้ คงไม่อาจสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น การสอนคนโง่ต้องอาศัยความอดทนและการสอนซ้ำซาก ต้องใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ต้องเพียรพูดย้ำให้ความจริงเข้าหูและเข้าไปถึงหัวใจ

ดังนั้น วันนี้คงไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของคนเสื้อแดง

มันเป็นแค่กระดานดำอีกแผ่นหนึ่งให้คนเสื้อแดงขีดเขียนความจริงสอนเด็กไม่รู้จักโต

วันนี้คนเสื้อแดงได้สร้างโต๊ะเจรจาและนั่งลงที่โต๊ะนั้นแล้ว พวกเขาต้องการลุกจากโต๊ะอย่างมีศักดิ์ศรีและยินดีเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ลุกจากโต๊ะอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นกัน ชนชั้นนำไทยจะยอมนั่งลงอีกฟากของโต๊ะเจรจาหรือไม่ หรือคิดแต่จะล้มโต๊ะล้มเก้าอี้ของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว คงไม่มีใครเดาใจได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องใช้บทเรียนอีกกี่ครั้ง กว่าชนชั้นนำจะรู้จักฉลาดและยอมรับว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

คนเสื้อแดงคือครูของกาลเวลา น่าเสียดายที่พวกเขามีนักเรียนที่ไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เด็กย่อมมีวันที่ต้องเรียนรู้ เพื่อเติบใหญ่อย่างกล้าแข็ง มิฉะนั้น ก็ต้องฝ่อตายไปตามกาลอันควร

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท