Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

การทำแนวร่วมระหว่างนักปฏิรูป (ผู้ที่อยากประนีประนอม) กับนักปฏิวัติ (ผู้ที่อยากเปลี่ยนระบบแบบถอนรากถอนโคน) เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ศิลปะทางการเมือง และต้องอาศัยการวิเคราะห์และการเรียนบทเรียนจากอดีต เรื่องนี้นักมาร์กซิสต์ศึกษามานาน 

นักปฏิวัติต้องเข้าใจว่า ทำไมมวลชนจำนวนมากเดินตามแนวปฏิรูป
นักมาร์คซิสต์มองว่า ความคิดกระแสหลักในสังคม มักจะเป็นความคิดของชนชั้นปกครองที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพราะมีการกล่อมเกลาทางสื่อ โรงเรียน หรือครอบครัว และมีการสั่งสอนตลอดว่า คนธรรมดาไร้ความสามารถและอ่อนแอ ดังนั้นเราถูกชักชวนให้มอบอำนาจทางความคิดให้กับชนชั้นปกครองอย่างต่อเนื่อง นี่คือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่มองว่า ระบบสังคมที่ดำรงอยู่เป็นสภาพ ‘ปกติ’ และกลัวที่จะปฏิวัติ และเราไม่ควรหลงคิดว่าเขาคิดแบบนี้เพราะเขา ‘โง่’ หรือ ‘ขาดความกล้าหาญ’ และเราไม่ควรเสนออย่างกลไกตื้นเขินว่า แกนนำที่เสนอแนวปฏิรูป เช่น ‘สามเกลอ’ เป็นแนวปฏิรูปเพราะ ‘ได้รับเงิน’ หรือ ‘มีข้อตกลงลับเรื่องผลประโยชน์กับอำมาตย์’ คำพูดผิดๆ แบบนี้ ซึ่งมาจากคนอย่างอาจารย์ชูพงษ์ ถี่ถ้วน เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้สาระ มันนำไปสู่ความแตกแยกโดยไม่จำเป็น

ในยามที่มีความขัดแย้งและการต่อสู้เกิดขึ้น คนจำนวนมากจะเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกเสนอมาจากชนชั้นปกครอง เพราะเห็นชัดว่าไม่ตรงกับความจริง และมันไม่เป็นธรรม การรวมตัวกันต่อสู้ในกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่ ทำให้คนในขบวนการ เช่น ขบวนการเสื้อแดง มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะคิดทวนกระแสหลัก

อย่างไรก็ตามนักมาร์กซิสต์หลายคน เช่น อันโตนิโอ กรัมชี่ อธิบายว่า ในขั้นตอนแรก เมื่อคนลุกขึ้นสู้และพร้อมจะคิดทวนกระแส เพื่อสร้างประชาธิปไตยหรือความเป็นธรรม เขาย่อมคิดสู้ในกรอบกว้างๆ ของสังคมเก่าที่ดำรงอยู่ พูดง่ายๆ เขายังไม่ได้สลัดความคิดของชนชั้นปกครองออกหมด เขาเลยสู้เพื่อทำให้สังคมที่ดำรงอยู่ดีขึ้น เสรีมากขึ้น และเป็นธรรมมากขึ้น ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเสมอ และเป็นความบริสุทธิ์ใจของมวลชน

นักมาร์กซิสต์อย่าง เลนิน หรือ ตรอทสกี เสนอว่า มวลชนที่ยึดแนวปฏิรูปจะหันไปสนับสนุนการปฏิวัติต่อเมื่อ
1. มีวิกฤตทางสังคม โดยที่ชนชั้นปกครองถืออำนาจต่อไปในรูปแบบเดิมยาก
2. มวลชนที่ถูกปกครองไม่พอใจที่จะถูกปกครองต่อไป
3. นักปฏิวัติที่จัดตั้งเป็นพรรคปฏิวัติสามารถเสนอทางออกเป็นรูปธรรมในการต่อสู้

นักปฏิวัติควรมีความสัมพันธ์กับนักปฏิรูปอย่างไร?
ถ้านักปฏิวัติจะเริ่มครองใจมวลชนให้เดินตามแนวปฏิวัติ เขาต้องมีความสัมพันธ์กับมวลชนที่มีความคิดปฏิรูป ซึ่งไม่เหมือนกับการมีความสัมพันธ์กับแกนนำสายปฏิรูป และแน่นอน นักปฏิวัติต้องไม่ใช้วิธีแบบปัจเจก เช่น การวางระเบิดหรือการตั้งกองกำลังติดอาวุธของคนไม่กี่คน

ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ มีตัวอย่างความผิดพลาดของการสร้างความสัมพันธ์หรือแนวร่วม โดยมีสองกรณีสุดขั้วที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้คือ

1. การแยกตัวออกโดยสิ้นเชิงจากมวลชน ไม่หาทางร่วมมือเลย และด่าแกนนำและวิธีต่อสู้ของเขาอย่างเดียว เพื่อพิสูจน์ ‘ความเป็นนักปฏิวัติที่กล้าหาญและบริสุทธิ์’ ตัวอย่างที่ดีคือ กรณีที่พรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันภายใต้การนำของสตาลิน ไม่ยอมสามัคคีกับมวลชนพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเยอรมันในยุค ค.ศ.1930 ความแตกแยกระหว่างมวลชนที่เกิดขึ้น เป็นโอกาสทองที่เปิดประตูให้ฮิตเลอร์และพวกนาซียึดอำนาจได้ และนำไปสู่ความหายนะของภาคประชาชน ประชาธิปไตย และสงครามโลกครั้งที่สอง

ในไทย การหันหลังให้กับนักศึกษาและกรรมาชีพในเมืองในปี 2519 เพื่อไปตั้งฐานรบในป่าของพรรคคอมมิวนิสต์ เปิดโอกาสให้อำมาตย์ก่อเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา โดยไม่มีการออกมาสู้ในเมือง

2. ขั้วตรงข้ามคือการทำแนวร่วมแบบ ‘แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง’ ระหว่างแนวปฏิวัติกับแนวปฏิรูป ในรูปธรรมมันหมายความว่า แนวปฏิวัติไปเกาะอยู่กับแกนนำปฏิรูป โดยเชียร์อย่างเดียว ไม่วิจารณ์เลย ตัวอย่างเช่น คนที่เชียร์ทักษิณโดยไม่วิจารณ์ คนที่เน้นการทำแนวร่วมกับแกนนำมากกว่ามวลชน หรือคนที่ไม่ยอมเสนอมาตรการที่เป็นประโยชน์กับชนชั้นกรรมาชีพหรือเกษตรกรรายย่อย เพราะกลัวจะเสียแนวร่วมที่มีกับนักธุรกิจหรือชนชั้นกลาง เช่นไม่กล้าเสนอรัฐสวัสดิการ การขึ้นค่าแรง หรือการใช้รัฐช่วยการผลิตของเกษตรกรรายย่อย การกระทำแบบนี้จะตัดกำลังใจในการต่อสู้ของมวลชนชั้นล่าง และจะทำให้ขยายมวลชนในกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ขูดรีดไม่ได้ มันทำให้นักปฏิวัติถวายการนำให้แกนนำปฏิรูป และตั้งความหวังไว้กับผู้ใหญ่ เช่น พวกนายพลหรือพวก ‘ท่านผู้หญิง’ หรือแม้แต่ญาติของอำมาตย์แก่ ตัวอย่างจากต่างประเทศก็เช่น ท่าทีของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียกับประธานาธิบดีซุการ์โน ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้ล้มตายของมวลชนเป็นล้านในปี ค.ศ.1965

นักปฏิวัติต้องร่วมเดินร่วมสู้กับมวลชนปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ต้องให้กำลังใจและสามัคคี แต่ในขณะเดียวกันต้องใช้เวลาถกเถียงแลกเปลี่ยนถึงแนวทาง ซึ่งต้องอาศัยนักปฏิบัติการที่ไปคุยโดยตรง แจกใบปลิว และทำหนังสือพิมพ์ และในขณะที่นักปฏิวัติวิจารณ์แกนนำสายปฏิรูป เรามีภารกิจในการค่อยๆ พิสูจน์ต่อมวลชนอย่างเป็นรูปธรรมว่า แนวปฏิวัติใช้งานได้ดีกว่าแนวปฏิรูป นักปฏิวัติควรร่วมสู้กับ นปช. พร้อมกับการเสนอแนวทางการต่อสู้เป็นรูปธรรม ไม่ควรแยกตัวออกไปอยู่ในที่ห่างไกลอย่างที่พวก ‘สยามแดง’ กำลังจะทำ

ข้อเสนอของฝ่ายปฏิวัติ เพื่อขยายการต่อสู้ทางชนชั้น
1. ชนกับอำมาตย์ และท้าทายอำมาตย์ ในเรื่องนโยบายการเมืองที่เป็นรูปธรรม เสนอรัฐสวัสดิการ การขึ้นค่าแรงเป็นหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน การส่งเสริมระบบสหภาพแรงงาน การสร้างระบบเกษตรพันธสัญญากับองค์กรรัฐที่ควบคุมโดยชาวบ้าน การสร้างสันติภาพบนพื้นฐานความเคารพและความยุติธรรมในสามจังหวัดภาคใต้ การปฏิรูปกองทัพโดยการปลดนายพลออกและพัฒนาฐานะทหารระดับล่าง หรือการปฏิรูประบบศาลโดยการนำระบบลูกขุนมาใช้

2. ชนกับอำมาตย์ด้วยลัทธิความคิด คือชักชวนให้มวลชนเลิกจงรักภักดีกับอำมาตย์โดยสิ้นเชิง
3. ขยายฐานคนเสื้อแดงสู่สหภาพแรงงานและทหารเกณฑ์
4. สร้างหน่ออ่อนของอำนาจคู่ขนาน เพื่อแข่งกับรัฐอำมาตย์ในทุกพื้นที่ทุกชุมชน

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net