Skip to main content
sharethis

มาร์คแถลงผ่านทีวียันไม่ร่วมเจรจาแกนนำเสื้อแดงหากนำมวลชนไปกรมทหารราบที่ 11 ชี้เป็นการข่มขู่ คุกคาม ย้ำไม่ปิดทางยุบสภา แต่เสียดายฝ่ายค้านร่วมเสื้อแดงปิดช่องทางสภา ส่วน "สุเทพ"ลั่น ให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกคุมพื้นที่ราบ 11 ทันทีหากบุกรุกเข้าในพื้นที่

28 มี.ค.53 เวลาประมาณ 08.00 น. มีการถ่ายทอดเทปบันทึกภาพนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแถลงพิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงภายในประเทศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมในช่วงเวลาราว 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์คู่ขนานที่มีกิจกรรมการชุมนุมเป็นเหตุการณ์ระเบิด ดังเช่นเหตุการณ์ระเบิดเมื่อเช้าวันนี้ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจที่ตอบสนองแนวทางการปฏิบัติงานของรัฐบาล ไม่ให้มีการบุกรุกสถานที่ราชการ โดยไม่เกิดการประทะกับผู้ชุมนุม และดูแลประชาชนรวมทั้งผู้ชุมนุมด้วย
 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าพร้อมจะเจรจากับผู้ชุมนุม รวมทั้งไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอในการยุบสภา และยังมีตัวกลางที่พร้อมเชื่อมประสาน ไม่ได้มีกระบวนการจะล้มเลิก แต่ต้องเป็นไปในลักษณะไม่ข่มขู่ คุกคาม หรือกดดัน การเจราจาควรเป็นการวางแนวทางที่จะคุยอย่างสร้างสรรค์ แต่จะไม่ยอมและไม่อยู่เจรจาหากผู้ชุมนุมเคลื่อนไปยังกรมทหารราบที่ 11
 
“วันนี้แกนนำนำคนมาราบ 11 เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดบรรยากาศการเจรจา เมื่อฝ่ายหนึ่งกองเชียร์เป็นมวลชนมหาศาล แต่อีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องรักษาที่ตั้งที่มั่น เป็นทหารที่มีกำลังอาวุธ จึงไม่อาจนำไปสู่บรรยากาศการพูดคุยที่ดีได้”
 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อมาว่าข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องการยุบสภาสามรถดำเนินการได้ผ่านระบบสภา แต่ขณะนี้ที่พรรคฝ่ายค้านและกลุ่มผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวอยู่นอกสภานั้นได้ดำเนินการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายช่องทางการใช้ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร ไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว เพราะทำให้น้ำหนักในการเรียกร้องผิดเพี้ยนไปแล้ว
 
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการเคลื่อนไหวคู่ขนานที่เป็นความรุนแรงด้วยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังพยายามสืบหาผู้กระทำผิด รวมทั้งการกระทำที่ผิดกฎหมายต่างๆ จะดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่มีการละเว้น
 
จากนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับรมว.กลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพได้แถลงในนาม ศอ.รส.มาตรการดูแลพื้นที่กรมทหารราบที่ 11 ว่ากรมทหารราบที่ 11 เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศและมีอาวุธ ยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ดังนั้น หากกลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปในเขตพื้นที่กรมทหารราบที่ 11 ตนจะมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ทันที ซึ่งกฎอัยการศึกดังกล่าวจะมีผลบังคับเฉพาะในพื้นที่กรมทหารราบที่ 11 เท่านั้น เพื่อระงับเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น
 
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า การประกาศกฎอัยการศึกจะไม่กระทบการดำรงชีวิตของประชาชนภายนอก เพราะกฎอัยการศึกดังกล่าวจะมีผลบังคับเฉพาะในพื้นที่กรมทหารราบที่ 11 เท่านั้น และการประกาศครั้งนี้ถือเป็นการซักซ้อมไม่ให้ตกใจ ทั้งนี้หากจะมีการประกาศกฎอัยการศึกจะประกาศให้ทราบในทันที พร้อมยืนยันจะประกาศความจริงทุกเรื่อง ทุกมาตรการ ทุกขั้นตอน และหากพบว่าประกาศเหตุการณ์สงบลงแล้วจะประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในทันที
 
นายสุเทพกล่าวอีกว่า ประชาชนที่มาชุมนุมอาจมาด้วยความเข้าใจผิด หรือการยุยง และคนจำนวนมากอาจควบคุมได้ยาก อย่างไรก็ตามแกนนำต้องรับผิดชอบดูแลผู้ชุมนุมเพราะเป็นผู้พามา นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลจะมีการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดเป็นพิเศษและไม่ถอนทหารในพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลศิริราช, สนามบินสุวรรณภูมิ, ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา
 
 
 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
แถลงการณ์พิเศษถึงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง
ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย
เวลา 08.00 น. วันที่ 28 มี.ค.53
 
“พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ สถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้หลังจากที่มีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะมีการชุมนุมอย่างน้อย ๆ ก็ 3 ครั้งในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดีครับ หลายฝ่ายมีความวิตกกังวลกับอนาคตความไม่แน่นอนของบ้านเมือง หลายคนสัมผัสความเดือดร้อนด้วยตัวเอง จากปัญหาการจราจร จากปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันแน่นอนผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุนก็มีเป้าหมายในการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้หลายครั้งสถานการณ์ของบ้านเมืองหรือบรรยากาศของบ้านเมืองนั้น จะมีความรู้สึกตึงเครียด
 
ผมอยากจะเรียนกับพี่น้องประชาชนครับว่า ผมและรัฐบาลถือเป็นหน้าที่สำคัญในการที่จะดูแลให้การบริหารราชการแผ่นดิน ดำเนินการต่อไปได้ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความเป็นปกติและความสงบ สุข โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ เสียงสะท้อนจากทุกฝ่าย 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแน่นอนครับเสียงที่พี่น้องประชาชนได้ยินอาจจะบ่อยที่สุดก็ คือเสียงของผู้ชุมนุมจากรายงานข่าวสารต่าง ๆ แต่ผมต้องขอถือโอกาสนี้เรียนเช่นเดียวกันครับว่า มีพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมาก ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ผมขอบคุณสำหรับพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ให้กำลังใจผม รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เสนอแง่มุมความคิดที่อาจจะแตกต่างไปจากผู้ชุมนุม ผมถึงเรียนว่าการแก้ไขปัญหาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศนั้น เราจะฟังเพียงคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องฟังเสียงสะท้อนของคนทั้งประเทศ และยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมของคนทั้งประเทศเป็นสำคัญ ในบรรดาผู้คนซึ่งมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีความรู้สึกหลากหลายเช่นเดียวกันครับ หลายคนก็มีความต้องการที่จะเห็นความเด็ดขาด อยากจะให้สถานการณ์ต่าง ๆ จบลงได้อย่างรวดเร็ว หลายคนรู้สึกอึดอัดมีความเดือดร้อนก็ถ่ายทอดมา และคาดหวังว่ารัฐบาลจะสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที
 
ผมขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนครับว่า ผมและรัฐบาลรวมทั้งเจ้าหน้าที่มีความปรารถนาเช่นเดียวกับพี่น้องจำนวนมากที่ อยากจะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ขณะเดียวกันเราต้องยอมรับว่าความคิดเห็นที่แตกต่างยังมีอยู่ ที่สำคัญที่สุดครับในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผมมีหน้าที่จะต้องดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนทุกกลุ่ม ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้ชุมนุมด้วย ผมยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะบังคับใช้กฎหมายให้กฎหมายนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ขณะเดียวกันก็อยากจะเรียนว่าการบังคับใช้กฎหมายก็เพื่อประโยชน์ในการนำ ความสงบสุข หากการใช้บังคับกฎหมายทำไปในลักษณะที่ไม่รอบคอบ แทนที่จะได้ผลอย่างที่เราต้องการก็จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายออกไป ซึ่งในที่สุดก็ไม่สมประโยชน์กับฝ่ายใดทั้งสิ้น มีแต่ประเทศชาติจะต้องสูญเสีย และที่สำคัญคือว่าหากเป็นการลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงนั้น นั่นคือความสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไรก็ตาม เราคงไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
 
ดังนั้นการชุมนุม การเคลื่อนไหวทางการเมือง และเหตุการณ์ต่าง ๆ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยากให้ข้อคิดกับทุก ๆ ฝ่ายครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีลักษณะของการคู่ขนาน การชุมนุมเคลื่อนไหวลักษณะของการเมืองซึ่งจะมีกิจกรรมที่หลากหลายก็จะดำเนิน ไปวันต่อวัน หรือบางครั้งในบางช่วง บางวันอาจจะมีหลายกิจกรรม แต่ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นครับว่ามีการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น มีการขว้างระเบิดยิงระเบิด ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเจ้าหน้าที่ต้องได้รับบาดเจ็บ อย่างนี้เป็นต้น สถานการณ์เช่นนี้ครับที่เป็นตัวที่ทำให้การทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ นั้นจะต้องมีหลักยึดที่สำคัญ หลักที่ว่านั้นก็คือว่าเราจะดำเนินการเพื่อให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ สัปดาห์ที่ผ่านมาการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) การประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็เกิดขึ้น รัฐบาลถูกตำหนิจากบางฝ่ายครับว่าใช้มาตรการที่เกินเลยไป แต่ในที่สุดผลที่ออกมาก็คือการเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ การประชุม ครม. ก็สามารถหยิบยกปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องของภัยแล้ง จะเป็นเรื่องของเพลี้ย จะเป็นเรื่องที่เข้ามาพิจารณา และก็มีการเดินหน้าแก้ไขต่อไป การประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็มีกฎหมายสำคัญ ๆ ที่สามารถดำเนินการให้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้ เช่น กฎหมายสภาเกษตร ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่พี่น้องเกษตรกรจะได้มีกลไกนี้ ซึ่งกลไกนี้จะต้องผ่านเข้าสู่กระบวนการอื่น ๆ ในกระบวนการของรัฐสภาต่อไป
 
ขณะเดียวกันครับเมื่อใดก็ตามซึ่งเหตุการณ์ของการชุมนุมนั้นมีความสุ่มเสี่ยง ต่อการที่จะเกิดการปะทะกันการเผชิญหน้ากัน การทำให้เจ้าหน้าที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชน รัฐบาลโดยผมได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนว่าจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์เช่น นั้นเกิดขึ้น ผมต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ทั้งทหาร ตำรวจ เป็นพิเศษ เพราะได้สนองแนวทางที่ได้กำหนดไว้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครและกระทั่งในปริมณฑลนั้น เราได้กำหนดบทบาทหน้าที่ก็คือการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน รวมทั้งผู้ชุมนุมด้วย และบุคคลเหล่านี้ไม่ได้มีภารกิจในการที่จะไปเป็นปฏิปักษ์กับใคร เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้เมื่อเกิดความรู้สึกในหมู่ผู้ชุมนุม ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ผิด ที่คลาดเคลื่อนว่าการที่เจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมนั้น ทำให้เขาเกิดความอึดอัด อาจจะมีแกนนำไปพูดในลักษณะที่ว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่นั้นเป็นเรื่อง ของการที่จะมีการไปล้อม เพื่อเตรียมที่จะเข้าปราบปรามหรือสลายการชุมนุม ความตึงเครียดก็เกิดขึ้นครับ แนวทางซึ่งผม ท่านรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ผู้นำเหล่าทัพเราเห็นตรงกันก็คือว่าคนของเราที่ไปอยู่ที่นั่นนั้น ไปเพื่อดูแลพี่น้องประชาชน เมื่อเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนขึ้นนำไปสู่ความตึงเครียดนั้น เราก็หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาการปะทะกัน 7 จุด 8 จุดที่ว่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่สาธารณะ เมื่อประชาชนผู้ชุมนุมเห็นว่าทำให้เขาเกิดความไม่สบายใจ เราก็เพียงแต่ปรับแผน สลับพื้นที่ สลับกำลัง เพื่อให้บุคลากรทั้งในกองทัพ และก็ทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังสามารถที่จะดูแลปฏิบัติภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่ไปเผชิญหน้าหรือทำให้เกิดการปะทะกัน สุดท้ายเหตุการณ์ก็คลี่คลายได้
 
แต่ขณะเดียวกันเมื่อถึงจุดที่ผู้ชุมนุมได้ไปดำเนินการที่จะเรียกร้องให้มี การถอนเจ้าหน้าที่ออกจากทำเนียบรัฐบาล ตรงนี้จะเป็นกรณีที่แตกต่างครับ เพราะกรณีเช่นว่านั้นไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ แต่เป็นสถานที่ราชการ สุดท้ายเราจึงจำเป็นต้องยืนยันครับว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่ดูแลเพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลนั้น จำเป็นจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตรงนั้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น ถนนรอบ ๆ ก็สามารถที่จะมีการปรับเปลี่ยนได้ สุดท้ายเราก็สามารถที่จะปฏิบัติตามเป้าหมาย และภารกิจของเราได้ ผู้ชุมนุมก็ได้มีการกลับไปชุมนุมที่ผ่านฟ้า และคลี่คลายเหตุการณ์สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เพราะฉะนั้นผมอยากจะให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศมีความเข้าอกเข้าใจครับ ว่าแนวการปฏิบัติในเรื่องของการบริหารสถานการณ์และการชุมนุมนั้นเป็นไปตาม หลักนี้ ซึ่งผมต้องขอขอบคุณทุก ๆ ฝ่ายที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความเหน็ด เหนื่อย ด้วยความยากลำบาก และหลายครั้งก็อาจจะมีความรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะสามารถที่จะดำเนินการใน ลักษณะเช่นว่านี้และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาการปะทะกันได้อย่างไร
 
ผมย้ำอีกครั้งครับเจ้าหน้าที่ทุกคนขณะนี้ปฏิบัติภารกิจเพื่อรัฐ นั่นก็ คือ ดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของผู้ชุมนุม พร้อมกับยืนยันการเดินหน้าการใช้อำนาจในการ บริหารและอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีความฝักใฝ่ในทางการเมืองและผมได้ย้ำหลายครั้งว่าบุคลากรเหล่านี้ไม่ ต้องฝักใฝ่ทางการเมือง ขอให้ปฏิบัติภารกิจที่เป็นภารกิจหลักของหน่วยงาน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายให้อย่างมีประสิทธิภาพและดีที่ สุด เช่นเดียวกันครับแม้ว่าผู้ชุมนุมจะประกาศว่าตัวผม หรือท่านรองนายกรัฐมนตรีสุเทพเป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์ ผมก็ขอเรียนยืนยันว่าผมและท่านรองนายกรัฐมนตรีสุเทพไม่ถือเอาผู้ชุมนุมเป็น ศัตรูหรือปฏิปักษ์ของพวกผม ตรงกันข้ามครับทางออกของปัญหาของการชุมนุมที่เป็นข้อเรียกร้องทางการเมือง นั้น ผมก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าสามารถที่จะใช้กระบวนการทางการเมืองแก้ไขได้ วันนี้เหตุการณ์มันชัดเจนยิ่งขึ้นครับว่าขณะนี้พรรคฝ่ายค้านกับกลุ่มผู้ ชุมนุมนั้นได้ดำเนินการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว ซึ่งก็ทำให้เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าช่องทางของการใช้เวทีของรัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ก็คงจะมีความยากลำบากมากขึ้นในการแก้ปัญหา และทำให้ข้อเรียกร้องที่เป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองโดยตรงในขณะนี้จึงมีผู้ ที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมากเช่นเดียวกัน ก็มองว่าการเรียกร้องในเรื่องของการยุบสภา ซึ่งเดิมนั้นเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มคนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่นอกสภา ไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจน อย่างที่ได้ปรากฏขึ้นในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ก็เป็นเรื่องที่ทำให้น้ำหนักของเรื่องของการ เรียกร้อง ในเรื่องนี้ดูจะผิดเพี้ยนไป และทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยกันมากยิ่งขึ้น มากกว่าที่จะเป็นการยื่นคำขาดหรือยื่นเงื่อนไข การพูดคุยการเจรจานั้นผมได้พูดมาโดยตลอดครับว่า ผมไม่เคยปฏิเสธแม้แต่เงื่อนไขของการยุบสภา และผมขอเรียนครับว่าในความเป็นจริงแล้วก็มีอีกหลายกลุ่มซึ่งพยายามที่จะเป็น ตัวกลางในการเชื่อมเพื่อให้เกิดการพูดคุยกันระหว่างผมหรือรัฐบาลกับผู้ ชุมนุม จนถึงวินาทีนี้ก็ยังไม่ได้มีการล้มเลิกกระบวนการเหล่านี้ และความจริงก่อนหน้านี้แม้กระทั่งระหว่างเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ยังมีการ ติดต่อประสานงานกัน แม้กระทั่งระหว่างเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ยังมีการติดต่อประสานงานกัน สิ่งที่ผมได้บอกกล่าวไปก็คือว่าหากจะมีการพูดคุยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ การยุบสภานั้น ผมไม่ขัดข้อง แต่ต้องเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศที่การเคลื่อนไหวหรือการชุมนุมนั้นไม่ใช่เป็น ลักษณะของการข่มขู่คุกคามกดดัน
 
เพราะฉะนั้นวันนี้ครับในช่วงสายที่ผู้ชุมนุมประกาศว่าจะมีการส่งผู้แทนเข้า มาที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อจะมาพบกับผม โดยนำผู้ชุมนุมจำนวนมากมาชุมนุมอยู่ข้างหน้าราบ 11 ซึ่งจะทำให้เกิดเหตุการณ์ของการเผชิญหน้า ความตึงเครียด ผมก็ขอเรียนครับว่ามันคงเป็นบรรยากาศที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้เกิดการเจรจา ไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะให้มีการเจรจาภายใต้ลักษณะซึ่งบรรยากาศรายล้อม นั้น ฝ่ายหนึ่งอาจจะบอกว่ามีกองเชียร์เป็นหมื่นหรืออาจจะเป็นแสน อีกฝ่ายหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องรักษาที่ตั้งที่มั่นเป็นหน่วยราชการ เป็นหน่วยทหาร และมีอาวุธ นั่นไม่ใช่แนวทางที่จะนำไปสู่บรรยากาศของการพูดคุย ที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาและนำไปสู่ความสงบสุขได้
 
ผมจึงขอเรียนครับว่าเมื่อยังมีการแสดงเจตนาในการที่พูดคุยกัน เรามาทำบรรยากาศของการพูดคุยให้เหมาะสมในลักษณะที่จะนำไปสู่ความสงบสุขอย่าง แท้จริง ซึ่งจะผ่านกระบวนการของการยุบสภาหรือไม่ก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันบนโต๊ะได้ ผมขอเรียนครับว่าถ้ามีการเคลื่อนผู้ชุมนุมมาที่ราบ 11 ผมคงไม่สามารถที่จะเจรจาได้ และก็จะไม่อยู่เจรจาครับ แต่ยังยืนยันที่จะเปิดช่องทางของการพูดคุยกันเมื่อกลับไปสู่เงื่อนไขที่ผม ได้พูดมาโดยตลอดว่าการชุมนุมเคลื่อนไหวนั้น จะต้องไม่มีลักษณะของการข่มขู่คุกคามกดดัน ผมยืนยันว่าการปฏิเสธที่จะเจรจาภายใต้บรรยากาศอย่างนี้ ไม่ใช่การปฏิเสธที่จะหาทางออกครับ แต่เป็นการวางแนวทางที่ดีของการที่จะมีการพูดคุยกับสร้างสรรค์ และนำไปสู่ความสงบสุขได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมจะไม่ลดความพยายามในการสื่อสารเพื่อให้แกนนำผู้ ชุมนุมได้เกิดความเข้าใจว่าภายใต้เงื่อนไขบรรยากาศใด ที่เราจะได้มีการพูดคุยกันเพื่อหาทางออก
 
ส่วนการเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องคู่ขนาน ที่เป็นความรุนแรงนั้น ก็ขอเรียนครับว่าเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างแข็งขันครับ ในบางกรณีก็สืบสวนสอบสวนจนกระทั่งออกหมายจับได้แล้ว และก็จะไม่ลดละในความพยายาม รวมทั้งการกระทำใด ๆ ที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ก็ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่มีการละเว้นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด อันนี้คือภาพรวมที่ผมอยากจะขอถือโอกาสเรียนกับพี่น้องประชาชน หลังจากนี้ในส่วนของ ศอ.รส.นั้นจะได้มาทำการชี้แจงเกี่ยวข้องกับการที่จะรับกับสถานการณ์ ของการชุมนุมที่อาจจะมีขึ้นที่ราบ 11 ในวันนี้ ซึ่งจะได้มีการชี้แจงทั้งข้อกฎหมาย ขั้นตอนต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจที่ดีเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจจะเกิดขึ้นในเรื่องของข่าวสารได้
 
แต่สุดท้ายครับก่อนที่ผมจะให้ท่านรองนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงอธิบายในรายละเอียดนั้น ผมขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนทุกคนครับ ว่าผมรับผิดชอบกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา มีการประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับท่านรองนายกรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ ตำรวจ รวมไปถึงฝ่ายการเมือง พรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายอื่น ๆ เพื่อนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้ ผมจะมีภารกิจอยู่ที่ใดก็ตาม หรือจะติดตามสถานการณ์อยู่ที่ใดก็ตาม ผมขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนครับว่า ผมไม่ทิ้งพี่น้องประชาชน ผมเป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน ไม่เคยมาด้วยวิธีการอื่น ผมทราบดีถึงอำนาจหน้าที่ และที่สำคัญคือความรับผิดชอบที่ผมต้องมีต่อพี่น้องประชาชน บ้านเมือง สถาบันของชาติ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอให้พี่น้องสบายใจครับว่าผมนั้นจะทำทุกวิถีทาง ทุ่มเทเต็มความสามารถด้วยความร่วมมืออย่างดี จากเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของบ้านเมือง ซึ่งเข้าใจหลักการทั้งหลายที่ผมได้กราบเรียนกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ เพื่อที่จะเร่งเดินหน้าในการทำให้ประเทศของเรา สังคมของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ผมขอใช้เวลาเพียงเท่านี้ในวันนี้ครับ และจากนี้ไปจะให้ท่านรองนายกรัฐมนตรี และทาง ศอ.รส.ได้ชี้แจงถึงขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อบริหารสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีสำหรับการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ครับ สวัสดีครับ"
 
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th
 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net