28 มี.ค.53 เครือข่ายสันติประชาธรรมออกจดหมายเปิดผนึก โดยมีนักวิชาการร่วมลงชื่อจำนวนมาก พร้อมด้วยประชาชนที่สนใจ เรียกร้องให้นายกฯ ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ชี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นหนทางดีที่สุด เพื่อลดเงื่อนไขความรุนแรง เชียร์เจรจาสร้างกรอบกติกาการเลือกตั้ง และทุกฝ่ายต้องยอมรับผลเลือกตั้ง 

เมื่อมีการเปิดให้ผู้สื่อข่าวซักถาม ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า การเจรจาเป็นผลของการใช้พลังของประชาชนจนฝ่ายรัฐบาลยอมเจรจา แต่ก็คิดว่าอาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องการเจรจา จนมีการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีวาระซ่อนเร้นให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ทางการเมือง

ศิโรตม์ กล่าวอีกว่าการเจรจาที่เกิดขึ้นควรเป็นการเจรจาที่ยึดในระบอบประชาธิปไตย โดยคิดว่าเรื่องหลักๆ ที่รัฐบาลกับเสื้อแดงไม่สามารถเจรจากันได้คือเรื่องประชาธิปไตย แล้วก็เจรจากันว่าถ้ามีการยุบสภาใน 3 เดือน จะมีกระบวนการใดบ้างที่จำเป็น เช่นเรื่องบทบาทของกองทัพ ที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากในช่วงที่ผ่านมา

ด้าน ไชยันต์ รัชชกูล บอกว่าข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมมคือมีการยุบสภาภายใน 3 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการประนีประนอมอย่างมาก แทนที่รัฐบาลจะคิดว่าเป็นการเสียหน้าในการยุบสภา แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องยุบในทันที แต่ควรประกาศว่าจะมีการยุบสภาภายในสามเดือนและการเจรจาในที่นี่ไม่ได้หมายถึงการเจรจาเพื่อยุบสภาเท่านั้น แต่พอยุบสภาแล้วจะทำอย่างไรต่อไปในระดับที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับได้ และขอให้มันเป็นการเจรจาแบบสัญญาลูกผู้ชาย ถ้าฝ่ายไหนเลือกตั้งชนะก็ต้องยอมรับอย่างใจนักเลง

ไชยันต์ บอกอีกว่าการยุบสภาที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะมีปัญหามาจากในสภาเอง มีเพียงบางครั้งที่มาจากนอกสภา แต่คิดว่าในตอนนี้มันควบคู่กันทั้งปัญหานอกรัฐสภาและปัญหาภายในรัฐสภา เราจะได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ ว่า การประชุมรัฐสภาล้มหลายครั้ง

ไชยันต์ กล่าวฝากถึงนายกรัฐมนตรีว่า นายกฯ มักจะอ้างว่าเราต้องปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฏหมาย ซึ่งการยุบสภานั้นถือว่าอยู่ในกรอบของกฏหมาย แต่ถ้าเกิดว่าไม่ใช้มาตรการนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออาจมีการใช้กำลังกันว่าใครเหนือกว่า ฝ่ายเสื้อแดงเหนือกว่าก็ยุบสภา ฝ่ายรัฐบาลเหนือกว่าก็ไม่มีการยุบสภา "ซึ่งตรงนี้มันอยู่นอกกรอบกฏหมาย ใครกล้ามใหญ่ชนะ เราไม่ได้ต้องการอย่างนั้น" ไชยันต์กล่าว "ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีทำตามอย่างที่ตนเองประกาศ พูดภาษาบ้านผมก็คือ ขอให้ปากกับใจตรงกัน"