Skip to main content
sharethis

ผลการเจรจา 2 วันที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า ... วีระเป็นพระเอก หมอเหวงตกน้ำตายป่านนี้ลอยไปถึงอ่าวไทย (ฮา)

เปล่า ไม่ใช่ สาระสำคัญคือ มาร์คเสนอยุบสภาใน 9 เดือน วีระแม้ไม่ได้เสนออย่างเป็นทางการแต่ก็ยกความเห็นของนักวิชาการที่ให้ยุบใน 3 เดือน

แม้ลงท้ายการเจรจาเหมือนจะไม่ได้ข้อยุติ คนเสื้อแดงประกาศเลิกเจรจา ทักกี้วีดิโอลิงก์ว่าทางตันล้มโต๊ะ

แต่ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป ก็เกิดความรู้สึกเหมือนข้อยุติจะอยู่ไม่ไกล ฝ่ายหนึ่งเสนอ 9 เดือน ฝ่ายหนึ่งพอยอมรับได้ที่ 3 เดือน เอ๊ะ ทำไมไม่พบกันครึ่งทางที่ 6 เดือนหว่า

นี่ไม่ได้พูดในหลักวิชาการ ไม่ได้มองในเชิงนิติศาสตร์รัฐศาสตร์อะไรทั้งสิ้น แต่มองจากความรู้สึกแบบบ้านๆ ว่าทำไมไม่ลงกันที่ประมาณ 6 เดือนล่ะ

ความรู้สึกแบบบ้านๆ สำคัญนะครับ เพราะมันจะกลับไปเป็นแรงกดดันทั้งสองฝ่าย ว่าทำไมมึงไม่ยอมกันมั่ง สมมติเสื้อแดงยืนกรานหัวเด็ดตีนขาด ไม่เจรจาอีก ไม่ต่อรอง จะม็อบยืดเยื้อม็อบแตกหัก ความรู้สึกต่อต้านของผู้คนก็จะเพิ่มขึ้น และจะไปเข้าทางฝ่ายตรงข้าม แล้วท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย

แน่นอน ผมเข้าใจดีว่าเสื้อแดงไม่สามารถรับปากได้ทันที และไม่สามารถอ่อนข้อออกอากาศว่าถ้างั้น 4 เดือนได้ไหม 5 เดือนได้ไหม เพราะฝ่ายเสื้อแดง 3 คนเป็นตัวแทนมวลชนซึ่งมีทัศนะและอารมณ์หลากหลาย เป่านกหวีดให้ซ้ายหันขวาหันไม่ได้ เท่าที่ทราบแค่ยอมรับการเจรจา มวลชนฮาร์ดคอร์ส่วนหนึ่งก็ไม่ยอมรับหนีกลับบ้านไปแล้ว

แต่เสื้อแดงจะต้องทำงานความคิดในหมู่มวลชน (ในขณะที่ฉากหน้าก็ต้องทำเสียงแข็งเพื่อการต่อรอง) ว่าการเรียกร้องให้ยุบสภาทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้ 15 วันก็เป็นแค่ข้อเรียกร้องที่ตั้งไว้ให้ต่อรอง อย่าว่าอื่นไกล แม้แต่พรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อมเลย หรือถ้ายืดเวลาไปหน่อย คุณยังได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนยุบ ฉะนั้นเวลาที่เรียกร้องได้จริงๆ ก็คือไม่เกิน 3 เดือน

แล้วจาก 3 เดือนไปเป็น 5 หรือ 6 เดือนจะเดือดร้อนอะไรนักหนา การต่อสู้มันไม่ได้แพ้ชนะกันวันสองวันนี้หรอก มันยังต้องสู้กันอีกยืดเยื้อยาวนาน

ใจจริงผมสนับสนุน 3 เดือนเหมือนที่นักวิชาการเข้าชื่อกัน แต่เอาละ เพื่อยอมตามความรู้สึกของคนทั่วๆ ไป ก็อนุโลมได้ว่า 5-6 เดือน ถ้าจะฟันธงลงไปก็คือไม่เกิน 5 เดือน ยุบสภาในต้นเดือนกันยายน โดยเอาเหตุผลข้อเดียวคือ ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณให้ใช้ได้ก่อน

ที่จริงมันไม่จำเป็นหรอกนะครับ ข้ออ้าง 3 ข้อของอภิสิทธิ์ เมื่อคืนวันจันทร์ฟังช่อง 11 สัมภาษณ์ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สำนักสันติวิธี สถาบันพระปกเกล้า ท่านก็ยังเป็นกลางดีแม้พิธีกรจะชงคำถามอุบาทว์ๆ ท่านบอกว่าแก้รัฐธรรมนูญ 9 เดือน ในสภาพขณะนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ทำกันมาตั้งปีแล้วยังไม่ถึงไหน ส่วนที่เรียกร้องบรรยากาศสงบ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงเพราะคนมันมีอารมณ์ (เพื่อนเพิ่งเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านเชียงใหม่ ขายลำไยได้ นั่งรอรายการอภิสิทธิ์พบประชาชน แล้วชักปืนออกมาจ่อหน้าจอทีวี เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! แบบว่าแค้นมานานแล้ว จะซื้อทีวีใหม่ทั้งที ขอยิงให้สะใจ)

งบประมาณที่จริงก็ไม่จำเป็น (และไม่ชอบธรรม เพราะรัฐบาลไม่ได้รับเลือกเข้ามาด้วยเสียงข้างมาก ไม่มีสิทธิมาดำเนินนโยบาย) แต่เอาละ อนุโลมตามความรู้สึกคน ที่จำนวนหนึ่งเขาอาจเห็นว่าจำเป็น

แต่แก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นเลย แม้ผมจะสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้องแก้ทั้งฉบับ และเมื่อจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่อยู่แล้วก็ไม่ต้องแก้ เพราะ

หนึ่ง มาตราที่จะต้องแก้เพื่อการเลือกตั้ง มีแค่เปลี่ยนจากเขตใหญ่ 3 คนเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว กับมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค มาตราอื่นๆ เช่น 190 ที่มาวุฒิสมาชิก หรือการใช้อำนาจหน้าที่ แก้หลังเลือกตั้งได้

มาตรา 237 น่ะหมดสภาพไปแล้ว เพราะทุกพรรคการเมืองมีกรรมการบริหารพรรคแค่สิบกว่าคน ไม่ลงเลือกตั้ง อาจจะมีหัวหน้ากับเลขาธิการพรรคลงปาร์ตี้ลิสต์ ไม่มีทางโดนจับใบแดงซื้อเสียง ไม่มีใครโง่ให้โดนจับยุบพรรคอีกแล้ว

ส่วนเขตเดียวเบอร์เดียว ผมสนับสนุนว่าเป็นหลักการที่ถูกต้อง (แม้เป็นความต้องการของพรรคภูมิใจไทย) แต่ถ้าจะทำประเด็นนี้ประเด็นเดียว ไม่เกิน 3 เดือนก็เสร็จ

สอง ปัญหาความชอบธรรม การแก้รัฐธรรมนูญโดยที่มี ส.ส. ผู้แทนปวงชนไม่ครบ 480 คน เท่ากับประชาชนอีกส่วนหนึ่งเขาไม่มีสิทธิมีเสียงมีส่วนร่วมด้วย ควรรอเลือกตั้งใหม่ให้ครบ แล้วค่อยแก้ โดยขณะเลือกตั้งก็ให้ลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญไปด้วย จะสวยกว่า

ส่วนข้อเสนอของมาร์ค ที่ท้าให้ทำประชามติยุบสภา ที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกลัว สามารถรับคำท้าให้เห็นดำเห็นแดง แต่ในหลักการแล้วเป็นเรื่องตลก การยุบสภาไม่ใช่เรื่องต้องทำประชามติ เพราะความนิยมของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลเปลี่ยนแปรไปได้เรื่อยๆ คุณทำประชามติวันนี้ ผมบอกว่าไม่อยากให้ยุบสภา แต่อีก 2-3 เดือน เกิดเรื่องอื้อฉาว พรรคร่วมรัฐบาลสาวไส้กันเอง ผมคนเดียวกันอาจบอกว่ายุบสภาดีกว่า ประชามติยุบสภาจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้แปลว่าการทำประชามติจะคุ้มครองให้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี การทำประชามติควรทำเฉพาะตัวบทกฎหมายหรือเรื่องที่กระทบต่อประชาชนโดยตรงและมีผลระยะยาว

ที่สำคัญข้อเรียกร้องให้ยุบสภา ไม่ได้มาจากเรื่องความนิยมหรือไม่นิยม แต่เป็นเรื่องที่มาของรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม “รับของโจร” น้ำหน้าอย่างขวัญใจคนชั้นกลางจริตนิยม ลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย กี่ชาติก็ไม่ชนะทักษิณ ต้องพึ่งรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ใช้ปืนรถถังก็แล้ว ยุบพรรครอบหนึ่งก็แล้ว ยังแพ้เขา ต้องยุบพรรครอบสอง ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ถึงได้เป็นนายกฯ เขายอมมาท้าสู้กับคุณใหม่ ทั้งที่เสียเปรียบทุกอย่าง ทั้งกลไกรัฐ กลไกทหาร ตำรวจ ผู้ว่าฯ ตุลาการภิวัตน์ ถ้ายังมีศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ก็ถอดเสื้อโดดขึ้นเวที สู้กันซักตั้งสิ เขาอุตส่าห์ต่อให้ตั้งครึ่งควบลูกแล้ว

สรุปอีกทีว่าเมื่อดูองค์ประกอบทั้งหมด ผมคิดว่าเงื่อนไขที่เสื้อแดงควรยอมรับได้คือไม่เกิน 5 เดือน รีบทำงบประมาณให้เสร็จในเดือนสิงหา ยุบสภาต้นเดือนกันยายน เลือกตั้งเดือนตุลาคม ตั้งรัฐบาลให้เสร็จในเดือนพฤศจิกายน เรียบร้อยให้หมดก่อนเดือนธันวาคมที่จะเฉลิมฉลอง 84 พรรษา (ใบตองแห้งก็อ้างสถาบันได้นะ แต่อ้างอย่างมีเหตุผล)

สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำคือ ถ้าเสื้อแดงไม่ต่อรอง ไม่ฟังความรู้สึกบ้านๆ บ้าง ม็อบก็จะหาทางลงไม่เจอ และจะเจอแรงเสียดทานมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้จะฟังแต่ทักกี้ไม่ได้เพราะทักกี้ก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง และอยู่ไกล แกนนำต่างหากที่เป็นผู้รับผิดชอบม็อบอย่างแท้จริง ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ถ้าเกิดอะไรขึ้น (เหมือนเดือนเมษา) ม็อบครั้งนี้ฝ่ายสันติวิธีในเสื้อแดงได้ฉายแสงขึ้นมามีอำนาจนำสูงขึ้น โดยเฉพาะในการเจรจา วีระโดดเด่นก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับ ฉะนั้นต้องกล้าตัดสินใจและทำงานความคิดกับมวลชนให้เข้าใจ

ผมเข้าใจดีว่าการยืดเวลายุบสภา จะมีผลทำให้รัฐบาลสามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. แต่ช่างหัวมัน ยุบสภา 3 เดือน ต่อให้คุณเข้ามาก็เปลี่ยนโผทหารเขาไม่ทันอยู่ดี

 

ไล่ กกต.

เงื่อนไขสำคัญอีกข้อในการเลือกตั้งใหม่คือ ต้องไล่ กกต.ชุดนี้ออกไป เพราะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ยุติธรรม

ขออภัยทั้ง 5 ท่าน บางท่านอาจไม่มีปัญหา แต่มันเป็นภาพลักษณ์ที่ติดมาแล้ว เมื่อยุบพรรคเขาไปแล้ว (แต่ไม่ยอมยุบอีกพรรคหนึ่ง) ยังจะมาจัดการเลือกตั้ง มันก็จะเกิดความวุ่นวายไม่รู้จบ

กกต.ชุดนี้ควรลาออก แล้วตั้งใหม่โดยใช้กฎเกณฑ์ใหม่เฉพาะหน้า เรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหายอมรับความจริง นั่นคือ โลกนี้มันไม่มีหรอกความเป็นกลางที่แท้จริง เทพเจ้าเปาบุ้นจิ้นในสังคมไทย ตายโหงตายห่านหมดแล้วในวิกฤติ 4 ปี

กกต. 5 คนควรตั้งแบบง่ายที่สุด คือกำหนดคุณสมบัติผู้ที่ควรดำรงตำแหน่ง ให้รัฐบาลเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติมา 1 คน ฝ่ายค้าน 1 คน พันธมิตร 1 คน เสื้อแดง 1 คน แล้วกรรมการสรรหาเสนอคนที่ทั้ง 4 ฝ่ายยอมรับได้ 1 คน ถ้าหาชื่อมาแล้วไม่ยอมรับก็เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ กระทั่งได้คนที่ 4 คนแรกไม่วีโต้ คนๆนี้จะเป็นทั้งประธาน กกต.และฝ่ายสืบสวนสอบสวน ซึ่งสำคัญที่สุด

นี่คือความเป็นกลางที่เป็นไปได้จริง และจะมีปัญหาน้อยที่สุด เพราะใครอยู่ข้างไหน แสดงตัวให้ชัดเจนไปเลย ไม่เป็นไร แต่อย่าอ้างตัวเป็นผู้มีศีลธรรมสูงส่ง ไม่เข้าข้างใคร แล้วใช้อำนาจหน้าที่ลำเอียงจนเกิดความยุติธรรม 2 มาตรฐานกันเห็นๆ

 

ใบตองแห้ง

30 มี.ค.53

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net