Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

การกระทำของ “กลุ่มพี่น้องมหิดล” ที่ประกอบด้วยบุคคลากรด้านสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ และบุคคลสาธารณสุขอีกหลายด้าน นำโดย น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ที่ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านนายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองเลขาธิการนายกฯ ขอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลประชาชนที่ไปชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อาจติดเชื้ออันเนื่องมาจากการเทเลือดไปตามสถานที่ต่างๆ  และแถลงข่าวผ่านสื่มวลชนว่าฃ

 
จากการเก็บตัวอย่างเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงไปตรวจยังห้องแล็บโรงพยาบาลรามาธิบดี (ภายหลังมีการปฏิเสธจาก รพ.นี้ว่าไม่ได้ตรวจ) พบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ 1. เชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีค่าติดเชื้อ 1 ล้านหน่วย 2. เชื้อไวรัสตับอักเสบซี มีค่าติดเชื้อกว่า 5 หมื่นหน่วย และ 3. เชื้อไวรัสเอชไอวี หรือ เชื้อไวรัสเอดส์ มีค่าติดเชื้อ 113 หน่วย
 
การกระทำดังกล่าวนี้ไม่น่าจะถือเป็นการ “ตรวจเลือด” แต่น่าจะเป็นการ “ตรวจเลือดไพร่” มากกว่า เพราะเท่าที่ผมรู้ (ถ้ารู้ผิดกรุณาแนะนำด้วย) การตรวจเลือดโดยทั่วไปจะต้องกระทำบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิของบุคคล ถ้าเจ้าตัวไม่ประสงค์ให้นำเลือดไปตรวจ แพทย์หรือใครก็ไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ (ยกเว้นการพิสูจน์คราบเลือดที่เก็บหลักฐานในการก่ออาชญากรรมต่างๆที่ต้องนำไปพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์)
 
แต่การใช้เลือดเป็น “สัญญะ” ในการประท้วงของคนเสื้อแดง ไม่ใช่การก่ออาชญากรรม คนเสื้อแดงก็ไม่ใช่อาชญากร “กลุ่มพี่น้องมหิดล” จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้น
 
ประเด็นคือ “กลุ่มพี่น้องมหิดล” ก็ยอมรับว่า การใช้วิธีเช่นนั้นในการประท้วงของคนเสื้อแดง เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ทำไม “กลุ่มพี่น้องมหิดล” จึงนอกจากจะนำตัวอย่างเลือดของคนเสื้อแดงไปตรวจแล้ว ยังทำหนังสือถึงนายกฯ และแถลงข่าวออกมาเช่นนั้น แถมยังบอกว่า “พบเลือดที่เททิ้งในสถานที่ต่างๆ มีส่วนผสมของเลือดหมู และเลือดคนผสมกันด้วย” (ดังที่ทราบกันตามข่าว)
 
คงไม่มีวิญญูชนคนไหนในโลกนี้ที่จะเข้าใจได้ว่าการกระทำของ “กลุ่มพี่น้องมหิดล” เป็นการ “ตรวจเลือด” ตามปกติทั่วไป แต่วิญญูชนทุกคนย่อมเข้าใจได้ว่านั่นเป็นการ “ตรวจเลือดไพร่” ในความหมายที่ว่า “เป็นการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไม่เคารพความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์”
 
เพราะมีแต่คนที่มองคนอื่นว่า “ต่ำกว่า” ตนเองเท่านั้น จึงปฏิบัติต่อคนอื่นๆอย่างไม่เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นคนของเขา และต้องขีดเส้นใต้ว่า การ “ตรวจเลือดไพร่” ในความหมายดังกล่าว คือการเหยียบย่ำความเป็นคนอย่างเลือดเย็นที่สุดของกลุ่มคนที่เป็นตัวแทนความคิดของคนชั้นกลางในเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับคนเสื้อแดง
 
ความคิดของคนชั้นกลางในเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคนเสื้อแดง สะท้อนผ่านคำอธิบายปัญหาขัดแย้งทางการเมืองกว่า 4 ปีมานี้ว่า
 
“เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากความไม่เท่ากันของความรู้ ระดับสติปัญญา การรับรู้ข้อมูลข่าวสารฯลฯ ฝ่ายหนึ่งมีสิ่งดังกล่าวมากกว่า จึงรู้เรื่องประชาธิปไตยดีกว่า รู้ถูกรู้ผิดดีกว่า รู้ทันนักการเมืองโกงมากกว่า จึงมีความสามารถในการกำหนดอนาคตที่เหมาะสมของประเทศได้ดีกว่า แต่อีกฝ่ายมีสิ่งดังกล่าวน้อยกว่า จึงตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองโกง และไม่อาจไว้วางใจใน ‘สียง’ ของพวกเขาที่จะกำหนดอนาคตของประเทศได้”
 
แต่ฝ่ายที่ถูกมองว่าด้อยในด้านความรู้ ระดับสติปัญญา การรับรู้ข้อมูลข่าวสารฯลฯ มีคำอธิบายต่างออกไปว่าปัญหาขัดแย้งทางการเมืองกว่า 4 ปีมานี้ “เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่เอาเปรียบกับชนชั้นที่ถูกเอาเปรียบ หรือระหว่างอำมาตย์และเครือข่ายกับไพร่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด โดยเฉพาะถูกทำลายเจตนารมณ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งด้วยการรัฐประหาร การฮั้วกันระหว่างอำมาตย์กับนักการเมือง และโดยเฉพาะเป็นการฮั้วที่มีคนชั้นกลางในเมืองสนับสนุนอย่างแข็งขันในปัจจุบันนี้”
 
คำอธิบายความขัดแย้งทางการเมืองทั้งสองแง่ดังกล่าว อันไหนแสดงถึง “ระดับสติปัญญา” ที่สูงกว่า เป็นเรื่องที่ต้องวิจารณ์กันต่อไป
 
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำอธิบายตามความคิดของคนชั้นกลางในเมือง เป็นคำอธิบายที่ “ยกตนข่มไพร่” อย่างเห็นได้ชัด และยังเป็นคำอธิบายที่ทำให้ตั้งคำถามได้ตลอดมาว่า คนชั้นกลางในเมือง “ฉลาดกว่า” จริงไหม?
 
เพราะที่ว่าเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากกว่า ก็เป็นข้อมูลข่าวสารที่ผลิตสร้างโดยสื่อ และ นักวิชาการที่ส่วนใหญ่เป็น “ปากเสียง” แทนคนชั้นกลางในเมืองเป็นหลัก แม้ว่าปัจจุบันนี้เริ่มมีสื่อทางเลือก สื่อชายขอบ พยายามเป็นปากเสียงของคนชั้นล่าง หรือไพร่กันมากขึ้น แต่คนชั้นกลางในเมืองทำตัวเป็นผู้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นมากขึ้นหรือไม่ ถ้าเลือกเข้าถึงเฉพาะสื่อของฝ่ายตัวเองหรือสื่อกระแสหลักที่เป็นปากเสียงแทนชนชั้นตัวเอง จะมาอ้างว่าเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากว่าคนชั้นล่างได้อย่างไร
 
ที่สำคัญคำอธิบายดังกล่าว มันเป็นทัศนะที่บ่มเพาะ “จิตใต้สำนึก” ที่ดูถูกเพื่อนมนุษย์ ทำให้รู้สึกโดยอัตโนมัติว่า ชาวบ้านที่มาจากต่างจังหวัด จากชนบท มีความเป็นคน “ต่ำกว่า” ตัวเองและพวกตัวเอง การ “ตรวจเลือดไพร่” ก็เป็นพฤติกรรมเชิงกลไกที่เป็นไปตามจิตใต้สำนึกดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
 
พวกคุณละเมิดสิทธิเอาเลือดไพร่ไปตรวจโดยพลการ แล้วยังออกข่าวประจาน จะให้บอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ผ่านการไตร่ตรองดีแล้วด้วยสติปัญญาของอารยชนได้อย่างไรครับ?
 
ที่เสนอให้รัฐบาลหามาตรการดูแลผู้มาชุมนุมกับคนเสื้อแดงเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสต่างๆนั้น มันเป็นการอ้าง “ความดี” อ้างเหตุผลที่สวยงาม ฯลฯ มากลบเกลื่อนการกระทำที่ “เลือดเย็น” (ไม่อยากเรียกว่าเป็น “ความเลว” เพราะความหมายของคำนี้คลุมเครือมากในขณะนี้) ของพวกคุณอย่างที่เคยทำๆกันมาจนเป็นนิสัยถาวร!
 
ผมไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่รับไม่ได้หรือ “เหลืออด” กับการ “ตรวจเลือดไพร่” ที่เป็นพฤติกรรมอัตโนมัติอันเกิดจากการบ่มเพาะของทัศนะ “ยกตนข่มไพร่” ของคนชั้นกลางในเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับคนเสื้อแดง!
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net