Skip to main content
sharethis
ย้าย 24 'ซี8 ' แรงงานป่วนข้ามหัววุ่นโวยเด็กเส้นได้ดี-เล็งฟ้องศาลปกครอง
มติชน (29 มี.ค. 53) - รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงานแจ้งว่าขณะนี้ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการโยกย้ายข้าราชการระดับ 8 ขึ้นไปอย่างหนักเนื่องจากมีข้าราชการวิ่งเต้นนักการเมืองเพื่อผลักดันคนของตัวเองและพรรคพวกให้ได้ตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการข้ามอาวุโสกัน
จำนวนมาก ล่าสุดข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) จำนวนหนึ่งได้ทำหนังสือถึงนางอัมพร นิติสิริ อธิบดี กสร.อุทธรณ์การโยกย้ายล็อตดังกล่าว และเตรียมทำเรื่องฟ้องศาลปกครอง โดยชี้ให้เห็นว่าในจำนวน 24 ราย จากข้าราชการที่มีรายชื่อสมัครเข้ารับการประเมิน 197 ราย ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกส่วนใหญ่มีอาวุโสในลำดับท้ายๆเมื่อเทียบลำดับอาวุโสซึ่งกองการเจ้าหน้าที่กสร.ได้ทำบัญชีเสนอเอาไว้
เนื้อหาในหนังสือยังระบุว่า การละเลยระบบคุณธรรมเท่ากับส่งเสริมระบบอุปถัมภ์เมื่อระบบอาวุโสถูกทำลาย ระบบการบริหารงานบุคคลก็ไม่อาจสร้างความมั่นใจในเส้นทางความก้าวหน้าของข้าราชการแต่ละคนได้เหล่านี้นำมาซึ่งการแข่งขันวิ่งเต้น ตัดแข้งตัดขา ในที่สุด กสร.อาจไม่สามารถตอบสนองภารกิจสำคัญด้านการบริการผู้ใช้แรงงานได้ไม่เพียง กสร.เท่านั้น ในส่วนของกรมการจัดหางานก็มีโผรายชื่อจากนักการเมืองส่งไปยังผู้บริหารกรมซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการตอบสนอง ทำให้พวกหน้าห้องหรือคนใกล้ชิดนักการเมือง หรือผู้บริหารต่างได้เลื่อนขั้นกันอย่างรวดเร็ว—จบ
สปส.ปล่อยกู้สมาชิก 23 เม.ย. 1.5ล้าน/ราย-ดอกเบี้ย 2.5%
มติชน (
29 มี.ค. 53) - สปส.ทุ่มหมื่นล้านปล่อยกู้ผู้ประกันตนซื้อ-ปรับปรุงรีไฟแนนซ์บ้าน ให้รายละ 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5%ต่อปี เริ่มปล่อย 23 เม.ย.นี้ เผย 5 แบงก์สนใจร่วม ลูกจ้างหวั่นไม่ถึงมือผู้มีรายได้น้อย คนรายได้สูงจะได้เปรียบ แนะเสนอรวมหนี้เก่าโดยใช้หลักประกันเดิม
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ว่า สปส.เตรียมลงนามกับธนาคารพาณิชย์อย่างน้อย 5 แห่ง เพื่อนำเงินกองทุนประกันสังคมในส่วนของการลงทุนทางสังคมจำนวน 10,000 ล้านบาท มาให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกันตนในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 2.5 ต่อปีในวงเงินไม่เกินรายละ 1.5 ล้านบาท สำหรับซ่อม ปรับปรุง ปลูก ซื้อ หรือรีไฟแนนซ์บ้าน โดยธนาคารจะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 1.5 และ สปส.ได้รับร้อยละ 1 หลังจากแจ้งโครงการไปยังธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งเพื่อให้แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการ ขณะนี้มี 5 แห่งที่ส่งสัญญาพร้อมจะลงนาม ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย กรุงศรีอยุธยา กรุงไทยไทยพาณิชย์ และธนาคารอิสลาม เดิมทีเตรียมลงนามกันตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เหตุวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้ทำให้ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 23 เมษายนนี้ นอกจากนี้ยังมีธนาคารพาณิชย์อีก 4 แห่งได้แจ้งความจำนงเข้าร่วมเพียงแต่ยังไม่ได้ส่งสัญญามาให้ สปส.ดู
นายปั้นกล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกันตนสามารถแจ้งความจำนงขอกู้เงินที่ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งได้เลย เฉลี่ยไว้ให้ธนาคารแต่ละแห่งกว่า1,000 ล้านบาทสำหรับการนี้ แต่หากธนาคารใดมีผู้ประกันตนเข้าไปใช้บริการมาก สปส.จะสนับสนุนให้เพิ่ม แต่ไม่เกิน 3,000 ล้านบาทเพื่อให้ธนาคารแข่งขันกัน ดังนั้น หากธนาคารใดช้า เงิน 10,000 ล้านบาทก็จะหมดก่อน สำหรับเงินในแต่ละก้อนนั้น จะยังไม่นำไปฝากไว้ที่ธนาคารใดๆ จนกว่าจะมีผู้ประกันตนทำเรื่องกับธนาคารเสร็จ และส่งเรื่องมาให้แล้ว สปส.ถึงจะมีการนำเงินไปฝากที่ธนาคารแห่งนั้น
เลขาธิการ สปส.กล่าวต่อไปว่า การให้สินเชื่อครั้งนี้ค่อนข้างยืดหยุ่นมาก เพราะต้องการให้ผู้ประกันตนได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง โดยอาจกู้เงินเพื่อซ่อมบ้านให้บิดาหรือมารดาก็ได้ หรือหากต้องผ่อนบ้านอยู่ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 สามารถกู้เงินส่วนนี้ไปโปะแทนได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.5 เท่านั้น ทั้งหมดนี้สามารถติดต่อโดยผ่านธนาคาร และธนาคารใดจะตั้งเงื่อนไขอย่างไรก็ต้องไปแข่งกันในการให้บริการกับผู้ประกันตนกันเอง เพราะเงินมีอยู่จำกัด
นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ ประธานสหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทยและอดีตกรรมการประกันสังคม กล่าวว่า เมื่อก่อน สปส.เคยให้สินเชื่อในลักษณะนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ลูกจ้างที่จะกู้ได้ต้องผ่านโครงการบ้านจัดสรรที่ สปส.ขึ้นทะเบียน ในที่สุดแล้วลูกจ้างจึงเข้าไม่ถึงการกู้เงิน ขณะเดียวกันบริษัทรับเหมาหรือบ้านจัดสรรได้ทำ "บัญชีผี" โดยการเอาชื่อผู้ประกันตนไปกู้ ครั้งนี้หากให้ผู้ประกันตนสามารถกู้ได้เลยก็เป็นเรื่องที่ดี แม้ในความเป็นจริงคนที่มีรายได้น้อยอาจกู้ยาก เพราะธนาคารต้องการหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะกู้ได้ในวงเกินไม่เกินร้อยละ 40 ของรายได้ เพราะต้องนำรายได้ที่เหลือไว้กินใช้
"ผมดูแล้วคนที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือคนที่มีรายได้ 40,000-50,000 บาทขึ้นไป แต่คนที่มีรายได้ 10,000-20,000 บาทคงกู้ยาก เพราะธนาคารคงไม่ปล่อยง่ายๆ ยิ่งคนที่เคยกู้แล้ว ยิ่งลำบาก แต่หากการกู้ครั้งนี้สามารถเอาไปรวมกับหนี้เก่าโดยใช้หลักประกันเดิมได้ก็เป็นสิ่งที่ดี" นายชัยสิทธิ์กล่าว
สหภาพ กสท.-ทีโอที โร่ร้องวุฒิฯล้มร่างพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ
เว็บไซต์ไทยรัฐ (
29 มี.ค. 53) - เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่รัฐสภา นายพงศ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสุขุม ชื่นมะนา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสทโทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เข้ายื่นหนังสือต่อ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา และนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.... ในมาตรา 78 วรรค 3 หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและรอที่จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของวุฒิสภา
ทั้งนี้ สหภาพแรงงานทั้ง 2 แห่ง เห็นว่าบทบัญญัติในมาตรา 78 วรรค 3 มีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ และสร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานของรัฐทั้ง 2 แห่ง ที่ระบุว่าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปีให้รัฐวิสาหกิจนำรายได้จากผลประกอบการในส่วนที่ได้รับจากการให้อนุญาตสัมปทาน โดยให้หักค่าจ่ายตามที่กำหนด เหลือเท่าใดให้ส่ง กสทช.เพื่อเป็นรายได้แผ่นดินนั้น ถือว่าเป็นการให้อำนาจ กสทช. ที่เกินขอบเขต ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ให้อำนาจ กสทช. ในการกำกับดูแลจัดสรรคลื่นความถี่เท่านั้น ดังนั้นจึงจะส่งให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้ตัดวรรค 3 ของมาตรา 78 ต่อไป อย่างไรก็ตามหากมาตรา 78 วรรค 3 มีผลบังคับใช้ จะเกิดผลกระทบต่อการประกอบการของบริษัท กสทฯ และทีโอที เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสภาพคล่องทางการเงิน และการลงทุนเพื่อสาธารณะ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
ด้านนายสมชาย กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ นอกจากนี้หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษา จะเชิญตัวแทนจากสหภาพทั้ง 2 สหภาพ เข้ามาชี้แจงเพื่อให้ความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย
พนง.ทหารไทยแต่งดำประท้วง
มติชน (
31 มี.ค. 53) - แบงก์ทหารไทยป่วนรอบใหม่ สหภาพนัดแต่งชุดดำประท้วง โวยฝ่ายบริหารขึ้นเงินเดือนแค่คนละ 100-200 บาท ยัวะใช้ระบบเคพีไอประเมินพนักงานขณะที่ 'ซีอีโอ' ยันชี้แจงทั้ง 4 สหภาพแรงงานไปก่อนหน้าแล้ว แจงเคพีไอทำให้เงินเดือนขึ้นไม่เท่ากัน แต่ให้โบนัสปลอบใจเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีชี้คนโวยวายแค่คนกลุ่มเล็กๆ
นายสุขุม เครือวรรณ ประธานกรรมการสหภาพแรงงานพนักงาน ธนาคารทหารไทยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมากลุ่มสหภาพแรงงานพนักงานธนาคารทหารไทย ได้ร่วมกันแต่งชุดดำ เพื่อประท้วงฝ่ายจัดการและผู้บริหารของธนาคารกรณีการปรับค่าจ้างไม่เป็นธรรม โดยฝ่ายจัดการนำการวัดผลเข้ามาใช้ในการพิจารณาเงินเดือนทำให้เงินเดือนของพนักงานธนาคารได้ขึ้นเพียง 100-200 บาทต่อคนเท่านั้น
"เราพยายามติดต่อฝ่ายบริหารให้มาชี้แจงเรื่องดังกล่าว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับเพราะฝ่ายจัดการบอกว่าต้องทำตามช่องทางการติดต่อที่กำหนดไว้ แต่ไม่ได้รับความคืบหน้า จึงแต่งกายชุดดำเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม" นายสุขุมกล่าว
นางสุวาณี แก้วแกมทอง ประธานสหภาพแรงงานธนาคารทหารไทย หนึ่งในสี่สหภาพของธนาคารทหารไทย กล่าวว่าสหภาพก็เห็นด้วยในเรื่องเงินเดือนที่อาจไม่เป็นธรรม และต้องยอมรับว่าอาจมีผู้บริหารบางคนไม่เป็นธรรมต่อพนักงาน ซึ่งได้ร่วมกันยื่นหนังสือถึงฝ่ายบริหาร คาดว่าต้องใช้เวลา 1 สัปดาห์ แต่ทางสหภาพแรงงานพนักงานฯ ใจร้อนเกินไปที่แต่งดำประท้วง
"เราเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าการนำระบบวัดผลเข้าในใช้พิจารณาเงินเดือนอาจมีปัญหาแน่นอน จึงเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ไว้และสร้างความเข้าใจแก่สมาชิกด้วย ซึ่งเงินเดือนที่ขึ้นน้อยก็สร้างความไม่พอใจก็จริงแต่ก็มีส่วนจากผลประกอบการที่เป็นโบนัสเสริมมาให้ แต่ทางสหภาพของคุณสุขุมอาจใจร้อนเกินไป ซึ่งเรื่องที่จะให้ทางผู้บริหารชี้แจงเป็นเรื่องที่เห็นด้วย แต่ก็ต้องใช้เวลา"นางสุวาณีกล่าว
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่าตนได้พูดคุยเรื่องอัตราเงินเดือนกับทางสหภาพก่อนหน้านี้ไปแล้ว ซึ่งทั้ง 4 สหภาพต่างรับรู้และเข้าใจดี การที่มีสหภาพออกมาเรียกร้องเป็นกลุ่มเล็ก มีจำนวนสมาชิกไม่เพียงพอที่จะเสนอข้อเรียกร้องตามที่กระทรวงแรงงานกำหนดไว้ว่าจะต้องมีจำนวนสมาชิก 20% ของพนักงานทั้งหมดอย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ใช้อัตราค่าจ้างอ้างอิงกับผลงาน ความรู้ ความสามารถของพนักงาน ตามเกณฑ์ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งได้นำเกณฑ์เคพีไอเข้ามาใช้ทำให้พนักงานได้รับการปรับเงินเดือนไม่เท่ากัน แต่ก่อนหน้านี้ธนาคารได้เพิ่มโบนัสพิเศษเข้าไปในเงินเดือนแล้ว ซึ่งปี 2552 ถือว่าเป็นปีแรกในรอบ 14 ปีที่มีโบนัส ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ก็พอใจ
"ตอนที่ชี้แจงก็ไม่มีใครคัดค้านอะไร เชื่อว่าคงเป็นเพราะกลุ่มของนายสุขุม มีสมาชิกไม่เพียงพอที่จะเรียกร้อง เลยต้องสร้างกระแส เข้าใจว่าช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เลยมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของธนาคารแน่นอน"
กรมการจัดหางานชี้เกาหลีหนุน EPS ประกาศให้โควตาคนไทย6,000คน
พิมพ์ไทย (31 มี.ค. 53) - นายสุภัท กุขุน รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครสอบความสามารถภาษาเกาหลีครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 8-16 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า มีผู้สนใจมาสมัครจำนวน 7,920 คน ซึ่งจะมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบและสถานที่สอบในวันที่ 9 เมษายน นี้ โดยผู้ที่มีรายชื่อจะต้องเข้าสนามสอบในวันที่ 9 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 09.30-12.30 น.
ทั้งนี้ผู้ที่สอบความสามารถภาษาเกาหลีผ่าน จะมีสิทธิเดินทางไปทำงานกับนายจ้างในประเทศเกาหลีใน 3 กิจการ คือ กิจการอุตสาหกรรม 3,000 คน ก่อสร้าง 2,000 คน เกษตรและเลี้ยงสัตว์อีก 1,000 คน โดยนายจ้างชาวเกาหลีจะเป็นผู้เลือกจากความสามารถและประสบการณ์อย่างไรก็ตามอัตราค่าจ้างของแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในประเทศเกาหลีผ่านระบบการจ้างงานแรงงานต่างชาติ(EPS) ที่กระทรวงแรงงานเป็นผู้ดำเนินการนั้นคิดเป็นชั่วโมงละ4,110 วอน ประมาณ 123 บาท ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงคิดเป็นเงินไทยเดือนละ 25,700 27,800 บาท โดยผู้ที่ถูกเลือกให้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลีจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณรายละ 35,000 40,000 บาท ทั้ง ค่าหนังสือเดินทางค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง และค่าประกันภัยเป็นต้น
นายสุภัท ยังกล่าวอีกว่า ขอให้ผู้ที่สมัครสอบทั้งหมดฝึกฝนทักษะภาษาเกาหลีให้มาก ทั้งทักษะการอ่านและฟัง เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ และอย่าหลงเชื่อผู้ที่แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือท่านได้ เพราะอาจจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้หรือถูกหลอกลวงให้หลงผิดได้ หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
พบแรงงานไทยเหยื่อค้ามนุษย์โผล่มาเลย์
เดลินิวส์ (
31 มี.ค. 53) - เมื่อเวลา 15.30 น. ที่รัฐสภา นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย แถลงว่า เมื่อวันที่ 21 –23 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้นำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ กว่า 20 คน เดินทางไปที่ประเทศมาเลเซีย และได้รับรายงานจากสถานทูตไทยในมาเลเซียว่า ยังมีคนไทยเข้าไปทำงานในมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย หรือเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ และถูกจับกุมอยู่ในความดูแลของทางการมาเลเซียอีกจำนวน 172 คน ตนจึงได้เข้าพบและเจรจากับ รมช.มหาดไทย มาเลเซีย จนได้รับความช่วยเหลือจัดส่งคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากดังกล่าวกลับประเทศไทย
นายถาวร กล่าวต่อว่า ตนได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแนภาคใต้(ศอ.บต.) ประสานกับเจ้าหน้าที่ของมาเลเซีย ในการช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศโดยด่วน ซึ่งล่าสุดทางการมาเลเซียแจงว่าสามารถส่งคนไทยทู่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ แล้วกลับประเทศได้ จำนวน 52 คน ในวันที่ 2 เม.ย.เวลา 14.00 น. ตนจะเป็นประธานในพิธีส่งมอบ ที่บริเวณด่านศุลกากรสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ส่วนที่เหลืออีก 120 คน อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติอย่างละเอียด เพื่อส่างกลับไทยในภายหลัง สำหรับคนไทยทั้ง 52 คนเป็นภาคกลาง 8 คน ภาค อีสาน 17 คน และภาคใต้ 27 คน เมื่อกลับไทยแล้วจะส่งกลับภูมิลำเนาและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบหาผู้กระทำผิด ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ต่อไป นอกจากนี้รัฐบาลได้เตรียมโครงการให้ความช่วยเหลือกับเหยื่อเหล่านี้ โดยให้ความรู้แก่ผู้ที่คิดจะไปทำงานต่างประเทศไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการ ค้ามนุษย์อีก
 
 
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเตือนลูกจ้างตรวจสัญญาจ้างก่อนเข้าทำงาน
สำนักข่าวไทย (
31 มี.ค. 53) - กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนลูกจ้างตรวจสัญญาจ้างให้ชัดเจน ป้องกันถูกนายจ้างเอาเปรียบ เผยตัวเลขลูกจ้างร้องเรียนปีที่แล้วกว่า 2,600 ราย ส่วนใหญ่ค่าจ้างไม่เป็นธรรม นายจ้างฝ่าฝืน ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มีโทษทั้งจำและปรับ

นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเตือนลูกจ้างในสถานประกอบการต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่กำลังจะเริ่มทำงานให้ตรวจสอบสัญญาการจ้างงานให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ เช่น การจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ที่ไม่เป็นธรรม การหักเงินกรณีลูกจ้างขาดงาน หรือทำของเสียหาย หลังจากพบแนวโน้มลูกจ้างถูกนายจ้างเอาเปรียบมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2552-31 มี.ค. 2553 มีลูกจ้างมาร้องเรียนกับ กสร.ทั้งหมด 2,652 ราย คำร้อง 5 อันดับแรก คือ เรื่องอัตราค่าจ้าง รองลงมาเป็นค่าชดเชยการเลิกจ้าง เงินประกัน ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ากรณีเลิกจ้าง และค่าทำงานล่วงเวลาตามลำดับ

นางอัมพร กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดว่ากรณีที่เป็นลูกจ้างทั่วไปต้องทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันไว้แต่ไม่เกิน 84 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากทำงานเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนายจ้างจะต้องจ่ายเงินค่าทำงานล่วงเวลาให้ กับลูกจ้าง โดยคิดเป็นอัตราค่าจ้างรายวัน คูณด้วย 1.5 จะเท่ากับค่าล่วงเวลาที่ได้รับต่อ 1 ชั่วโมง ส่วนการทำงานในวันหยุดต้องได้ค่าจ้างในอัตรา 2 เท่า และหากทำงานเกิน 8 ชั่วโมง ต้องคูณด้วย 3 จะเท่ากับอัตราค่าจ้างล่วงเวลาต่อชั่วโมง ส่วนวันลาพักผ่อนอย่างน้อยใน 1 ปี ต้องไม่ต่ำกว่า 6 วัน

นางอัมพร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับสิทธิของพนักงานขับรถซึ่งมีข้อบังคับเฉพาะ ต้องทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และต้องได้พักไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนเริ่มทำงานในวันถัดไป หากนายจ้างให้ทำงานล่วงเวลาต้องไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง และนายจ้างต้องจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาเท่ากับชั่วโมงที่ทำ หากนายจ้างฝ่าฝืนมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีโทษตามความหนักเบา ปรับตั้งแต่ 5,000 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

เตือนแรงงานระวังแก๊งตุ๋นแรงงานไปลาว
เว็บไซต์สยามรัฐ (
1 เม.ย. 53) - น.ส.ลักษณา สิริเวชประเสริฐ จัดหางานจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ได้ออกประกาศเตือนให้คนหางานในพื้นที่ทราบว่า ขณะนี้ได้รับทราบเบาะแสเข้ามาว่า มีบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง อ้างว่าได้ประมูลงานสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศลาวได้ และขณะนี้ได้เปิดรับสมัครคนหางานเป็นจำนวนมาก เพื่อไปทำงานก่อสร้าง โดยเบื้องต้นได้มีการเรียกเก็บเงินค่าจัดทำวีซ่าจากคนหางานรายละ 10,000 บาท ต่อมาภายหลังไม่สามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานได้ ทำให้คนหางานได้แจ้งยกเลิกการสมัคร และขอเงินค่าดังกล่าวคืน แต่บริษัทไม่ยอมคืนเงินให้ ซึ่งก็มีคนหางานในจังหวัดลำปาง หลงเชื่ออยู่หลายราย นอกจากนี้ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ได้แก่ อ.เถิน สบปราบ เสริมงาม และเกาะคา ขณะนี้ยังมีกลุ่มบุคคลกำลังออกเร่ชักชวนคนหางานไปทำงานสร้างเขื่อนเทินหินมูลในประเทศลาว
น.ส.ลักษณา กล่าวต่อว่า โดยบุคคลดังกล่าวได้อ้างว่าจะเดินทางไปทำงานในตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ และต้องการทีมงานเพื่อไปทำงานในไชด์งานเดียวกัน เบื้องต้นจะมีการเก็บเงิน เพื่อจัดทำวีซ่า ตรวจสอบประวัติ และแปลเอกสารจากคนหางานรายละ 8,000 บาท แต่ปรากฏว่าภายหลังไม่สามารถที่จะจัดส่งไปทำงานได้
 “สำหรับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ โดยนายจ้างเป็นผู้พาไปนั้น คนหางานจะต้องมีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัทที่จะพาไปทำงาน และนายจ้างที่ประสงค์จะพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ ต้องยื่นคำขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานต่ออธิบดีกรมการจัดหางาน หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมการจัดหางานมอบหมาย ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปาง จึงทำการตรวจสอบแล้วว่ายังไม่มีบริษัท หรือกลุ่มบุคคลใด หรือนายจ้างรายใด ขออนุญาตนำคนหางานไปทำงานยังประเทศลาว ดังนั้นถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการหลอกลวงคนหางาน ซึ่งก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนคนหางานที่ถูกชักชวนก็อย่าได้หลงเชื่อโดดเด็ดขาด” จัดหางานจังหวัดลำปาง กล่าว และว่า
สำหรับคนหางาน ที่สามารถติดต่อสมัครงานกับนายจ้างในต่างประเทศได้ด้วยตนเอง และประสงค์จะแจ้งการเดินทางไปทำงาน คนหางานต้องแสดงหลักฐานสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับคนหางานที่ได้รับการตรวจสอบ และประทับตรารับรองจากสำนักงานแรงงานไทยในต่างประเทศแล้ว และในกรณีประเทศที่จะเดินทางไปทำงานไม่มีสำนักแรงงานไทยตั้งอยู่ สัญญาจ้างต้องได้รับการตรวจสอบ และประทับตรารับรองจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ หรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้นๆ
คนงานนิคอนสลายการชุมนุมหลังได้ข้อยุติ
มติชน (
2 เม.ย. 53) - เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 เมษายนพนักงานนับพันคนจากโรงงานผลิตอุปกรณ์กล้องของบริษัท นิคอน (ประเทศไทย)จำกัด ตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัยจ.พระนครศรีอยุธยา เคลื่อนขบวนเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเรียกร้องให้เปิดการเจรจา 3 ฝ่าย ระหว่างนายจ้าง ตัวแทนรัฐ และลูกจ้าง เพื่อหาข้อยุติพิพาทแรงงาน หลังจากปักหลักประท้วงหน้าโรงงานมาตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะ อส.ร้องขอให้ชุมนุมบนถนนข้างศาลากลาง และให้ส่งตัวแทนเข้าห้องประชุม โดยมีนายทวี นริสศิริกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานการเจรจา 3 ฝ่าย ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงจึงหาข้อยุติได้ และมีการทำบันทึกตกลงร่วมกัน 6 ข้อ กระทั่งเวลา 12.30 น. แกนนำได้ชี้แจงให้บรรดาพนักงานทราบ ต่างพอใจแยกย้ายกันกลับ และพร้อมจะเดินทางไปทำงานตามปกติในวันที่ 2 เมษายนนี้
สหภาพฯรถไฟ ออกแถลงการณ์ปัดรับจ้างป่วนม็อบแดง
เว็บไซต์ไทยรัฐ
(2 เม.ย. 53) - เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2553 ที่ทำการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพฯ ได้นำสมาชิกสหภาพฯออกแถลงการณ์ “ชี้แจงข้อเท็จจริงตามปรากฏเป็นข่าว กรณีพนักงานการรถไฟฯ รับจ้างป่วนม็อบ” โดยระบุว่า ตามที่สื่อมวลชนหลายแขนงและทางทีวีช่อง 3 รายการเรื่องเล่าเช้านี้วันที่ 2 เม.ย. 2553 ได้เสนอข่าวกรณีนายเต้ย สอนทรัพย์ ว่าเป็นผู้ช่วยเลขานุการฝ่ายวิทยุสื่อสารการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับว่าจ้างจากนายสมชาย วิชัย ให้ไปปาประทัดยักษ์ในพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและบริเวณประตู 5 และ 6 ทำเนียบรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และล่าสุดก็ได้รับมอบหมายให้ก่อกวนในวันที่ 3 เม.ย.ที่จะถึงนี้ที่บริเวณสะพานมัฆวานและสี่แยกคอกวัว แต่มาถูกจับได้เสียก่อน ซึ่งทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ โดยมีคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำเสนอข่าวว่าได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากผู้ว่าการรถไฟฯ ว่าหน่วยงานฝ่ายวิทยุสื่อสาร ตามที่นายเต้ย สอนทรัพย์ อ้างถึงนั้น ไม่มีหน่วยงานนี้อยู่ในการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่เป็นหน่วยงานในสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
สหภาพฯ ขอชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวออกไปแต่อย่างใด ซึ่งทางสหภาพฯ ได้ตรวจสอบแล้วว่า ไม่มีชื่อ นายเต้ย สอนทรัพย์ และ นายสมชาย วิชัย เป็นสมาชิกแต่อย่างใด และไม่มีหน่วยงานฝ่ายวิทยุสื่อสารอยู่ในความรับผิดชอบของทางสหภาพฯ การกระทำของบุคคลดังกล่าว สหภาพฯ ขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และไม่เห็นด้วยในการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และขอประนามการกระทำดังกล่าว
ดังนั้น จากการนำเสนอข่าวดังกล่าว เป็นเหตุให้สหภาพฯ เสื่อมเสียชื่อเสียงและได้รับการเข้าใจผิดจากประชาชนทั่วไป สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย จึงขอความอนุเคราะห์มายังสื่อมวลชนทุกแขนง โปรดนำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อสาธารณชนให้ทราบต่อไปด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
"ไพฑูรย์"สวนการข่าว ศอ.รส.ไม่พบต่างด้าวร่วมม็อบแดง
เว็บไซต์แนวหน้า (
3 เม.ย. 53) - นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรง กล่าวอย่างมั่นใจว่าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันนี้จะไม่มีแรงงาน ต่างด้าว เข้าร่วมชุมนุมอย่างแน่นอน ตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. แถลงว่ามีต่างด้าวจากอ.แม่สอด จ.ตาก และจากอ.แม่สาย จ.เชียงราย ร่วมชุมนุมประมาณ 15 คน เนื่องจากวานนี้ตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน ที่มีประวัติของแรงงานต่างด้วยทุกคน และแจ้งแรงงานจังหวัดแล้ว ว่าให้ชี้แจงต่อสถานประกอบการด้วย
ทั้งนี้คาดว่าศอ.รส. เข้าใจผิด เพราะมีแรงงานบางส่วนที่กลับไปพิสูจน์สัญชาติและเดินทางกลับเข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตามหากจับได้ว่าแรงงานคนใดร่วมชุมนุมก็จะหมดสิทธิทำงานต่อทันที และจะถูกดำเนินคดีอาญาพร้อมกับปรับ 20,000 – 100,000 บาท ต่อคน และจะถูกผลักดันออกนอกประเทศห้ามทำงานต่อไป ส่วนนายจ้างจะถูกปรับ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคน อย่างไรก็ตาม
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net