เมื่อเวลา 18.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแถลงว่ารัฐบาลได้พยายามสถานการณ์ภายใต้การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง กลับปรากฏว่าการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลไม่สามารถที่จะดำเนินการระงับยับยั้งเหตุต่างๆ ได้ แต่การเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มนี้ได้พัฒนาไปสู่การกระทำที่ผิดกฎหมาย เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมอย่างกว้างขวาง รวมถึงกระทบต่อภาพลักษณ์ในประชาคมโลก แม้จะได้พยายามบังคับใช้กฎหมายอย่างดีที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นมีการพัฒนาความเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมายมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสองวันที่ผ่านมามีการขัดขืนเจ้าหน้าที่และบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา คณะรัฐมนตรีได้ประชุม ได้มีมติให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง และมีข้อกำหนดต่างๆ และมีมติการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยรัฐบาลมีความมุ่งหวังที่จะใช้เครืองมือตามกรอบของกฎหมาย โดยมีเป้าหมาย 4 ประการคือ

ประการแรก คืนความเป็นปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ต่างๆ ให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ
ประการที่สอง ยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนที่สร้างความแตกแยกและทำผิดกฎหมาย
ประการที่สาม ให้สามารถดำเนินคดีกับแกนนำได้ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ประการสุดท้าย เพื่อระงับการก่อวินาศกรรม

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลสามารถบรรลุการควบคุมสถานการณ์ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ได้มีเป้าหมายทำร้ายประชาชนโดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ และรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกวิถีทางที่เป็นไปตามกรอบกฎหมายและเป็นไปตามหลักสากล

ขณะนี้ผลประโยชน์ของชาติได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการทำงานของคนกลุ่มหนึ่ง ผมอยากชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมายและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม จะส่งผลที่เป็นความเสียหายและเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกคน และอยากทำความเข้าใจแก่ประชาชนที่จะเข้ามา และใครก็ตามที่มีญาติ มีเพื่อนที่รู้จักให้ช่วยสร้างความเข้าใจด้วย

โดยจากนี้ไปนายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้แถลงความคืบหน้าเป็นระยะๆ

ทั้งนี้พื้นที่ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และบางส่วนของ จ.สมุทรปราการ จ.อยุธยา และ จ.ปทุมธานี

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ที่นี่