Submitted on Thu, 2010-04-22 03:10
ตั้งแต่สิ้นปี ๒๕๕๒ ถึงต้นปี ๒๕๕๓ ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการส่งกลับผู้ลี้ภัยสองกลุ่ม คือ กลุ่มม้งลาว และกลุ่มกะเหรี่ยง ว่าไม่มีความเหมาะสมและอาจนำผู้ลี้ภัยไปสู่อันตราย
หลักการดูแลและส่งกลับผู้ลี้ภัยควรเป็นเช่นไร
ความหมายผู้ลี้ภัย
ในกฎหมายระหว่างประเทศได้ให้ความหมายและคำจำกัดความไว้ ดังนี้
l ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948
ข้อ 14
(1) “บุคคลมีสิทธิที่จะแสวงหาและที่จะได้อาศัยพำนักในประเทศอื่นๆเพื่อลี้ภัยการกดขี่ข่มเหง”
l อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951
มาตรา 1
ก. ตามอนุสัญญาฉบับนี้คำว่า “ผู้ลี้ภัย” หมายถึงผู้ใดที่
(2) อยู่นอกอาณาเขตรัฐแห่งสัญชาติของตน อันเป็นผลจากเหตุการณ์ก่อนวันที่ 1 มกราคม 1951 และด้วยความหวาดกลัวซึ่งมีมูลอันจะกล่าวอ้างได้ว่าจะได้รับการประหัตประหารด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าทางสังคมหรือทางความคิดด้านการเมืองก็ตาม และในขณะเดียวกันบุคคลผู้นี้ไม่สามารถหรือไม่สมัครใจ ที่จะได้รับความคุ้มครองจากรัฐแห่งสัญชาติ เนื่องจากความหวาดกลัวดังกล่าว หรือนอกจากนี้เป็นบุคคลไร้สัญชาติซึ่งอยู่นอกอาณาเขตรัฐที่เดิมมีถิ่นฐานพำนักประจำแต่ไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะกลับไปเพื่อพำนักในรัฐดังกล่าว ด้วยเหตุแห่งความหวาดกลัวที่กล่าวมาข้างต้น
ผู้ลี้ภัยคือใคร
ผู้ลี้ภัยที่หนีภัยอันตรายอาจถูกเรียกในหลายชื่อ อาทิ
l ผู้ลี้ภัย Refugee
l ผู้ย้ายถิ่น Migrants
l ผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่น Displaced Person
l ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า Displaced Person from Fighting
l ผู้อพยพชาวอินโดจีน
l นักศึกษาพม่า
l ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า
l ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า
l ลาวอพยพ
l ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา
l ญวน (เวียตนาม) อพยพ
l เนปาลอพยพ
l โรฮิงยา
ผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
- บุคคลในความห่วงใยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (Persons of Concern to UNHCR) คือบุคคลที่ UNHCR ดูแลในฐานะที่เป็นผู้ลี้ภัยที่ระบุไว้ในตราสารระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่น ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือคำนิยามซึ่งสมัชชาใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และเลขาธิการใหญ่ได้มีคำสั่งให้ UNHCR เข้าไปดูแลโดยเฉพาะกรณี ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าประชาชนบางกลุ่มได้พลัดถิ่นภายในประทศของตนเองด้วยปัญหาการสู้รบ การเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถึงแม้บุคคลนั้นจะไม่ได้เป็นผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญา พวกเขาก็จำเป็นที่จะได้รับการคุ้มครองในระดับนานาชาติ เช่น ชาวเคิร์ดในตอนเหนือของประเทศอีรัก เป็นต้น
- ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า (persons of fleeing fighting from Burma) เป็นคำที่รัฐบาลไทยใช้เรียกผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับกองชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า แม้ว่าผู้ที่อพยพเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ในระยะแรกๆ บางส่วนจะมีลักษณะเป็นผู้ย้ายถิ่น (Migrants) ผู้อพยพ (Displaced Person) หรือบางส่วนเป็นผู้ลี้ภัย (Refugee)
บุคคลเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากมีสถานการณ์การสู้รบในพม่า หนีเข้ามาในประเทศไทยเพราะกลัวจะถูกประหัตประหาร ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา การเป็นสมาชิกหรือเป็นมวลชน เช่น สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) โดยพม่าเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ปฏิปักษ์กับรัฐบาลพม่า เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครอง และไม่ได้ยอมรับว่ามีสัญชาติพม่า
หลักการไม่ผลักดันกลับ
มีหลักและจารีตที่ปฏิบัติกันทั่วโลกในการไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตรายในประเทศต้นทาง อาทิ
l ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948
ข้อ 14
(1) “บุคคลมีสิทธิที่จะแสวงหาและที่จะได้อาศัยพำนักในประเทศอื่นๆเพื่อลี้ภัยการกดขี่ข่มเหง”
l กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือน และสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966
ข้อ 7
บุคคลใดจะถูกทรมานหรือได้รับผลปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายผิดมนุษยธรรมหรือต่ำช้ามิได้
l รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง
l อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951
มาตรา 33
ข้อห้ามการขับไล่หรือการส่งกลับ
- รัฐภาคีผู้ทำสัญญาจะไม่ขับไล่หรือส่งกลับ(ผลักดัน)ผู้ลี้ภัย ไม่ว่าจะโดยลักษณะใดๆ ไปยังชายเขตแห่งดินแดน ซึ่งณ ที่นั้น ชีวิตหรืออิสรภาพของผู้ลี้ภัยอาจได้รับการคุกคามด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพ ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าทางสังคมหรือทางความคิดด้านการเมือง
การไม่สมัครใจ
การส่งกลับโดยไม่สมัครใจ อาจดูได้จากพฤติกรรมหลายประการ อาทิ
l กดขี่ ข่มเหง คุกคาม
l จำกัดสิทธิพื้นฐาน ลดหรือมีให้น้อยในสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
l สถานที่อยู่ไม่เหมาะสม
l ยุให้ผู้ลี้ภัยแตกแยกกัน
l ให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกไม่ดีหรือต่อต้านผู้ลี้ภัย
l ให้ข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้ลี้ภัย เช่น อยู่ในประเทศไม่ได้ จะถูกจับดำเนินคดี นโยบายรัฐไม่ให้อยู่อีกต่อไป
ผลของการส่งกลับโดยไม่สมัครใจ
การส่งกลับโดยไม่สมัครใจมีผลต่อตัวผู้ลี้ภัยและประเทศที่ส่งผู้ลี้ภัยกลับ อาทิ
l ผลต่อตัวผู้ลี้ภัย เช่น ถูกทำร้าย โดนกับระเบิด ไม่มีที่ทำกิน ถูกควบคุม
l ผลต่อประเทศหรือผู้ส่งผู้ลี้ภัยกลับ เช่น ถูกตำหนิจากหน่วยงานต่างๆ
โดนกีดกันทางการทูตหรือการค้า ต้องตอบคำถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
l ผลกระทบต่อสังคม เช่น ผู้ลี้ภัยอาจกลับเข้ามาใหม่อีก ในสภาพที่อาจไม่ใช่ผู้ลี้ภัย เช่น เหยื่อการค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย คนเข้าเมืองผิดกฏหมายที่อาศัยกระจัดกระจายตามชุมชน
ข้อสังเกตทางกฎหมายในการส่งม้งลาวกลับประเทศลาว
เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ รัฐบาลไทยได้ส่งชาวม้งลาวจากบ้านเข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวนกว่า ๔,๐๐๐ คน กลับประเทศลาว โดยนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศและฝ่ายทหารที่ดำเนินการ ให้เหตุผลในการส่งกลับตรงกัน ๒ ข้อ คือ
๑. ต้องส่งกลับภายในสิ้นปี ๒๕๕๒ นี้ มิฉะนั้นประเทศลาวจะไม่รับม้งลาวกลับ
ข้อเท็จจริงตามกฏหมาย ม้งลาวจะกลับประเทศลาวเมื่อไรก็ได้ รัฐบาลลาวไม่สามารถปฏิเสธการรับได้
ชาวม้งลาวประเทศลาวยอมรับว่ามีสัญชาติลาว และตามกฎหมายสัญชาติลาวมาตรา ๒๐ ยังถือว่าบุคคลเหล่านี้มีสัญชาติลาว ดังนั้นผู้มีสัญชาติตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศและกฏหมายรัฐธรรมนูญจะเดินทางกลับประเทศตนเองเมื่อไรก็ได้ รัฐหรือบุคคคลหนึ่งบุคคลใดจะมาห้ามการเกิดทางกลับประเทศไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณีอดีตนายกทักษิณ ชินวัตรซึ่งมีสัญชาติไทยก็สามารถเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใดก็ได้
(กฎหมายสัญชาติลาว มาตรา ๒๐ การไปอยู่ต่างประเทศ
บุคคลไหนที่ไปอยู่ต่างประเทศเกินเจ็ดปี โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ ไปอยู่ต่างประเทศได้รับอนุญาตแต่หากเกินกำหนด และ ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของสถานทูต หรือ กงศุลลาวประจำประเทศนั้น และ ขาดความพัวพันธ์ทางกฎหมายกับรัฐสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกินสิบปีก็จะเสียสัญชาติลาว)
๒. รัฐปฏิบัติตามกฎหมายคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ในการส่งม้งลาวกลับ
ข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในกฎหมายคนเข้าเมืองให้อำนาจรัฐส่งกลับตามอำเภอใจ
แม้จะมีหลักการลงโทษทางอาญาแก่บุคคลว่า ต้องผ่านกระบวนการทางยุติธรรม หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่พ.ร.บ.คนเข้าเมืองได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถส่งผู้หลบหนีเข้าเมืองออกนอกประเทศได้โดยไม่ต้องส่งศาล เฉพาะผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า ลาว และกัมพูชา
การส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า ลาวและกัมพูชานั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดรับสารภาพเท่านั้น หากผู้ต้องหาไม่รับสารภาพ เจ้าหน้าที่ต้องฟ้องต่อศาล เพื่อให้ผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสิน และผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายได้มีโอกาสในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
กรณีม้งลาวไม่มีข้อเท็จจริงว่าม้งลาวเหล่านี้รับสารภาพในความผิดฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีอำนาจผลักดันม้งลาวได้
ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหา
1. รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงควรกำหนดแนวทางแก่เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในทางที่จะเคารพหลักการไม่ผลักดันกลับ
2. หากผู้ลี้ภัยหรือหนีภัยการสู้รบจากพม่าตัดสินใจเดินทางกลับมาตุภูมิเดิมด้วยความสมัครใจ รัฐบาลไทยควรเชิญให้ UNHCR หรือหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเข้าเป็นสักขีพยานในการเดินทางกลับ อีกทั้งองค์การที่เป็นสักขีพยานเหล่านั้นอาจพิสูจน์ความสมัครใจในการเดินทางกลับของผู้ลี้ภัยเหล่านั้น อย่างไรก็จะต้องคำนึงถึงประกันความปลอดภัยและการเดินทางกลับอย่างมีศักดิ์ศรีในดินแดนนั้น
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ที่ผู้ลี้ภัยหรือหนีภัยการสู้รบจะกลับไปอย่างรอบด้าน
4. ในทางกลับกันหากไม่สามารถดำเนินการส่งกลับมาตุภูมิเดิมด้วยความสมัครใจได้ รัฐบาลไทยควรพิจารณาให้สิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อรอการส่งกลับประเทศต้นทางเมื่อสถานการณ์ภายในประเทศต้นทางมีความปลอดภัยหรือตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ซึ่งสามารถกระทำได้ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 กล่าวคือ ให้อำนาจของรัฐมนตรีโดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องที่จะให้คนต่างด้าวผู้ใดอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายโดยยึดหลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด เพื่อคงไว้ซึ่งการเคารพหลักการไม่ผลักดัน และความมีผลของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ