Skip to main content
sharethis
 
เห็นลูกสาวผู้เสียชีวิตจากเหตุร้ายที่สีลมเมื่อวันที่ 22 ร้องไห้ในข่าวทีวีแล้วก็เศร้าไปด้วย เป็นความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น และต้องประณามผู้ก่อเหตุว่าไม่ควรทำร้ายใครไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
 
แต่ประณามแล้วไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น ไม่รู้จะจับมือใครดม เอ็ม 79 ยิงถล่มพันธมิตรจนบัดนี้เกือบ 2 ปีไม่เคยจับใครได้ จะโทษตำรวจหรือ ก็รู้ว่าหาพยานหลักฐานยาก (พันธมิตรยังเลิกเรียกร้องให้หาตัวคนร้ายไปแล้ว)
 
รัฐบาลฉกฉวยความเศร้าสะเทือนใจมากล่าวโทษม็อบเสื้อแดง ทำนองว่าถ้าสลายม็อบได้ เอ็ม 79 ก็จะหายไป แต่ไม่คิดหรือว่าการสลายม็อบจะเกิดเรื่องเศร้าสะเทือนใจกว่าหลายเท่า หรืออาจจะหลายร้อยเท่า
 
ที่จริงถ้าพูดอย่างไม่เข้าข้างใคร ก็ต้องยอมรับว่าเอ็ม 79 “มากับม็อบ” แม้วิเคราะห์แล้ว การก่อเหตุหลายจุดในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา ไม่น่าจะใช่ฝีมือคนกลุ่มเดียวหรือฝ่ายเดียว แต่น่าจะมี 2-3 ฝ่าย (อย่างน้อยที่บึ้มขู่บรรหาร ไม่น่าใช่พวกเสื้อแดง)
 
แต่ถ้าพูดเฉพาะวันที่ 10 เมษา และอาจจะรวม 22 เมษา ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นแบบไม่แถ ก็น่าจะเป็น “ตัวช่วย” ของม็อบเสื้อแดง เพียงแต่คงไม่ซี้ซั้วต้าอย่างที่อธิบดี DSI พูดว่าดาราหนังยังรู้ใครสั่งยิง
 
โถ มือระดับหย่อนเอ็ม 79 ลงกลางวง ผบ.พล.2 ที่อภิสิทธิ์ร้องว่ามันแม่นมาก ไม่ใช่มือกิ๊กก๊อกนะครับ มันต้องมืออาชีพระดับผู้เชี่ยวชาญผ่านสมรภูมิ เคยยิงซ้อมยิงจริงมานับไม่ถ้วน แถมรู้จักอีกต่างหากว่าคนไหน ผบ.พล คนไหน ผบ.พัน
 
มือระดับ Jackal ชั้นนี้ต้องลับสุดยอด ขืนแพร่งพรายให้คนรู้มาก ก็เข้าหูหน่วยข่าวกรองทหาร (วันไหนรู้ตัวว่าเป็นใคร ทหารกับทหารเขาคง “เช็กบิล” กันเงียบๆ) ฉะนั้น คิดว่าแกนนำม็อบเสื้อแดงจะรู้หรือครับว่าใครคือ Jackal เขาไม่ให้รู้หรอก ท่านอธิบดี
 
ผู้ก่อการร้าย” เขาแยกสายจัดตั้งออกจากม็อบ แม้คู่ขนานไปกับม็อบ แม้ม็อบรู้ว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าใคร ฉะนั้น จะโทษแกนนำหรือมวลชนเป็นหมื่นๆ ที่เขามาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ไม่ได้ จะเอาเหตุนี้ไปปราบม็อบไม่ได้
 
แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี่พูดอย่างไม่เข้าข้างใครอีกเหมือนกัน คือม็อบเสื้อแดงรู้แล้วละ ว่ามีเอ็ม 79 หนุนหลัง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลปราบม็อบไม่สำเร็จและยังไม่กล้าปราบอีก ดังนั้นถ้าเปรียบไป “ชายชุดดำ” ก็เสมือน “เส้น” ของม็อบเสื้อแดง แม้ด้านหนึ่งจะส่งผลเสียทางการเมือง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็น “ภูมิคุ้มกัน” รัฐบาลจึงยังไม่กล้าสลาย
 
ผมไม่ได้บอกว่าเป็นสิ่งที่ถูก แต่พูดตามความจริงที่เห็นอยู่ ม็อบเสื้อเหลืองเขามีเส้นมีภูมิคุ้มกันแน่นหนา จากอำมาตยา ทหาร ตุลาการภิวัตน์ ที่ร่วมกันรัฐประหารมา ม็อบเสื้อแดงไม่มีอะไรเลย มีแต่เอ็ม 79 สรณัง คัจฉามิ
 
ลองคิดถึงหัวอกมวลชนเสื้อแดง หลังเหตุนองเลือด 10 เมษา ที่ทรราชย์ฟันน้ำนมยังกล้าๆ ไม่รับผิดชอบ แถมยังมีกระแสออกมาแห่อุ้ม มวลชนเสื้อแดงไม่คิดว่าเขามีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว นอกจากพวกเขาเองในม็อบ พี่น้องในต่างจังหวัด ที่ช่วยกันปิดถนน ยึดรถไฟ และ “ผู้ก่อการร้าย” ที่จะโผล่มาเมื่อพวกเขาถูกสลาย
 
ถูกผิดก็แล้วแต่ (ผมไม่แถว่าถูกหรอก) แต่มันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว และมันจะพัฒนาไปอย่างไร นั่นตะหากที่สำคัญ
 
คนเสื้อแดงที่อย่างน้อยก็มีฐานเสียงครึ่งประเทศ ถูกปล่อยให้รู้สึกว่าเขาไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว มองหาใครไม่ได้ นอกจากทักษิณกับเอ็ม 79 แล้วประเทศนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
 
ถ้าไม่อยากให้เขายึดเอ็ม 79 เป็นสรณัง คัจฉามิ ก็ช่วยหาที่พึ่งให้เขาหน่อยสิครับ
 
วันนี้ไม่ใช่ ยุบสภา’
 
ณ วันนี้ที่เสื้อแดงยึดราชประสงค์มาจะครบเดือน รัฐประกาศภาวะฉุกเฉินมาเกินครึ่งเดือน ยังไม่มีใครมองออกว่าสถานการณ์จะจบอย่างไร เสื้อแดงยื่นเงื่อนไข แต่อภิสิทธิ์ไม่เจรจา ขณะที่นายกฯ ผู้ดีท่าทีแข็งกร้าว แต่ ผบ.ทบ.กลับบอกว่าความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้ มันกลายเป็นสถานการณ์ที่ตรึงกันอยู่โดยไม่รู้ทางลง
 
หลายคนมองว่าจะต้องจบก่อน 30 เมษา แต่จบอย่างไร ยังมองไม่เห็น
 
ตรงนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณพวก “ขาวเนียน” ด้วยว่าอย่างน้อยกระแสที่ออกมายับยั้งความรุนแรงแม้จะสะเปะสะปะ แต่ก็ช่วยชะลอหรือยืดเวลาการสลายม็อบออกไป (จนโดนพรรคการเมืองใหม่ออกมาด่า)
 
ผมเคยฝากเตือนแกนนำเสื้อแดงว่าต้องหาทางลง แต่เมื่อเขาไม่ลง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มาถึงตอนนี้แล้วก็เชื่อว่าเขาจะไม่ลงง่ายๆ (ในเมื่อมาร์คไม่เจรจาด้วย) ซึ่งอาจนำไปสู่การสลายม็อบ ก็แค่อยากฝากอีกว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง ขอร้องแกนนำประกาศให้มวลชนอย่าต่อสู้ ให้ทุกคนนั่งลงบนสี่แยกราชประสงค์ นั่งไม่ลุก ให้ทหารตำรวจอุ้มไปขึ้นรถจนคนสุดท้าย และเรียกร้องให้รัฐบาลเอาเข้าห้องขังทุกคน ฐานอ้างว่าการชุมนุมผิดกฎหมาย มีโทษจำคุก อย่ายอมให้ปล่อยตัวกลับบ้าน มวลชนทุกคนพร้อมใจให้จับเข้าคุก
 
นั่นจะเป็นจุดจบอย่าง “อารยะขัดขืน” สงวนพลังทั้งทางการเมืองและมวลชนไว้ต่อสู้ต่อไป
 
แต่ก็ไม่แน่ใจอีกแหละว่าแกนนำและมวลชนจะยอมทำเช่นนั้น เพราะอย่างที่บอกว่าม็อบเสื้อแดงวันนี้ เชื่อว่าพวกเขาไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว ถ้าจะมี “เส้น” ก็มีแค่ความรุนแรง
 
ยิ่งกว่านั้นถ้าพูดกันจริงๆ ทุกคนก็รู้ว่า “ยุบสภา” คือข้อเรียกร้องขั้นต่ำสุด และประนีประนอมที่สุดแล้ว ในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจให้กลับมาสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ
 
มวลชนจำนวนมากเขาไปไกลกว่านั้นแล้วหละ
 
ฉะนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันที่เคยบอกว่าเสื้อแดงแพ้ไปครึ่งตัวแล้ว เป็นการประเมินที่ถูกไหม เพราะถ้าประเมินแบบการต่อสู้ทางการเมืองช่วงชิงกระแสสนับสนุน ก็เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าประเมินแบบการต่อสู้ “นอกกระแส” มันก็จะเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิง
 
ผมดูภาพมวลชนเสื้อแดงเหลาไม้ไผ่อยู่หน้าปืนเอ็ม 16 ภาพการจุดพลุ ปล่อยโคมลอย ใส่เฮลิคอปเตอร์ แน่นอน ฮ.ไม่ตกหรอก แต่มันเป็นเชิง “สัญลักษณ์” เหมือนกับการลุกฮือขึ้นประสานกันในต่างจังหวัด ยึดรถทหารยึดรถไฟบรรทุกยุทโธปกรณ์ ตั้งด่านสกัด ไม่แยแสคำขู่ของรัฐบาลว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ใช้เพียงสองมือเปล่าและเลือดเนื้อเข้าวัดใจกับกองกำลังที่ติดอาวุธครบมือ
 
อะไรจะเกิดขึ้นถ้ารัฐบาลสลายม็อบเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ไม่สิ ไม่ว่าจะสลายหรือไม่สลาย มันก็เกิดขึ้นแล้ว “สัญลักษณ์” ของการปฏิเสธอำนาจรัฐ การกลับมาเกิดใหม่ของวิญญาณกบฎผีบุญ กบฎเงี้ยว เสรีไทย การเคลื่อนไหวชาวนา และการต่อสู้ในป่าเขา ซึ่ง ณ วันนี้ได้ส่งทัพหน้าเข้ามาปักไม้ไผ่อยู่ในศูนย์กลางธุรกิจของประเทศ คนจน ชาวนา แท็กซี่ สามล้อ แมงกะไซค์ ใช้สองมือสองตีนยึดพื้นที่ของหลุยส์ วิตตอง แอร์เมส เวอร์ซาเซ่ ที่มีราคาแพงกว่าข้าวเปลือกหนึ่งเกวียน
 
ดูเหมือนไม่สำคัญแล้วละว่าจะสลายม็อบราชประสงค์หรือไม่ เพราะไม่ใช่ The End มันเป็นแค่พล็อตตอนหนึ่งที่ไม่ว่าหักมุมอย่างไร ก็จะต้องเดินไปตามเนื้อเรื่องที่บังคับไว้
 
เพียงห่วงใยว่าอย่าให้เกิดการสูญเสีย อย่าให้เกิดความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ในขณะที่ยังพอจะยับยั้งความรุนแรงและการสูญเสียได้ เพราะถ้าพล็อตหักมุมรุนแรง ตอนต่อมามันก็จะรุนแรง จะเป็นดรามา ทริลเลอร์ หรือแอคชั่น บู๊ล้างผลาญ พล็อตตอนนี้ก็สำคัญ
 
ผมคงไม่เรียกร้องให้ม็อบหาทางลงอีก (เพราะยังไงเขาก็ไม่ลง) เพียงฝากข้อเสนอข้างต้นว่าถ้ารัฐใช้กำลังเข้าสลาย ก็นั่งลงให้มันอุ้มไปเข้าคุก เอาให้แน่นคุกไม่มีที่คุมขัง
 
โปรดคิดในด้านบวกว่าการต่อสู้จุดติดแล้ว พวกคุณจะต้องสงวนกำลังไว้ คิดถึงขั้นต่อไปว่าจะวางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างไร ในการต่อสู้ซึ่งคงไม่ใช่การจัดตั้งกองกำลังอาวุธขึ้นมาตั้งเขตปลดปล่อยเหมือนหลัง 6 ตุลา แต่น่าจะเป็น “เขตปลดปล่อย” เชิงสัญลักษณ์ ที่ก่อ “กบฎเงียบ” ต่ออำนาจรัฐ โดยมีพลังมวลชนเป็นอาวุธแทนปืนระเบิด
 
โห ยึดรถทหารได้ ยึดรถไฟได้ ตั้งด่านปิดถนนได้ ที่จริงคุณทำได้เกือบทุกอย่างแล้วละครับ ต่อไปแกนนำที่โดนหมายจับ อาจจะหนีไปเดินเล่นอยู่ตามตลาดอำเภอในเชียงใหม่ ในขอนแก่น โดยตำรวจได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะมวลชนรุมล้อมจนทำอะไรไม่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีไปตรวจราชการ มีทหารตำรวจรุมล้อม กลับเข้าพื้นที่ไม่ได้
 
อย่างน้อยการแข็งขืนต่อต้านอำนาจรัฐแบบสันติ ก็ยังดีกว่าพัฒนาไปสู่ “การก่อการร้าย” ที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดความรุนแรงระหว่างสลายการชุมนุม
 
ซูจี นักประชาธิปไตยที่แท้จริง
 
นญ.อองซานซูจีออกมาตบหน้าเผด็จการอำมาตยาไทยว่า วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นผลจากรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วรัฐธรรมนูญก็ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยทหาร ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
 
ผมอ่านข่าวแล้วหัวร่อกลิ้ง เพราะอองซานซูจีไม่ได้ตบหน้าอำมาตยาแต่ฝ่ายเดียว (ปณิธานโต้ไม่ออกเลย ได้แค่แถข้างๆ คูๆ) หากยังตบหน้านักสิทธิมนุษยชนไทยที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า แต่กลับยอมรับรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ในบ้านตัวเอง
 
ปลายปีก่อน ตอนฮุนเซนเปรียบทักษิณกับซูจี ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นักสิทธิมนุษยชนที่ทำงานเรื่องพม่ารายหนึ่ง เป็นผู้หญิง ขออภัยขี้เกียจจำชื่อ เธอออกมาเถียงคอเป็นเอ็นว่าทักษิณไม่ใช่ซูจี เพราะซูจีสู้เพื่อประชาชน ทักษิณสู้เพื่อผลประโยชน์ แต่พูดไปพูดมา เธอก็บอกว่า “ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้างถึงเหตุการณ์ปฏิวัติทำให้ต้องพ้นตำแหน่ง การปฏิวัติไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว ประเทศไทยเคยมีการปฏิวัติหลายครั้งแต่สถานการณ์การเมืองก็สามารถคลี่คลายแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหายืดเยื้อเหมือนปัจจุบัน”
 
อ้าว เฮ้ย แปลว่าอะไร แปลว่าการปฏิวัติรัฐประหารเป็นวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาได้ ถ้าทักษิณไม่สู้ ถ้าทักษิณยอมเหมือนน้าชาติ แล้วปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายไปด้วยดี อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่บอกให้ซูจียอมมั่งล่ะ
 
แล้วที่เรียกร้องให้ นช.ทักษิณกลับมาติดคุกเหมือนซูจี อย่าสู้อยู่ต่างประเทศ พวกที่บอกว่าทักษิณไม่ใช่ซูจีและไม่ใช่ อ.ปรีดี ลองคิดดูซิว่าถ้าตอนนั้น อ.ปรีดีท่านกลับมาสู้คดี อะไรจะเกิดขึ้น (แล้วที่อ้างว่า อ.ปรีดีท่านยอมแพ้ ท่านไม่สู้ เพราะเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ก็ไม่จริงนะครับ อ.ปรีดีกลับมาก่อ “กบฎวังหลวง” ไม่ต่างจากทักกี้ที่หนุน “กบฎราชประสงค์” อยู่ตอนนี้)
 
คำพูดของซูจีกับคำพูดของนักสิทธิมนุษยชนไทย สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกประชาธิปไตยที่แตกต่างกันชัดเจน ซูจีไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด เพราะเป็นความจริงที่ทักษิณไม่ใช่ซูจี แต่วิธีการ กระบวนการ ที่อำมาตยาไทยหรือทหารพม่าใช้ ก็แทบไม่มีอะไรต่างกัน copycat ตั้งแต่ให้ลงประชามติจอมปลอมรับร่างรัฐธรรมนูญ ตัดสิทธิแกนนำพรรค NLD และใช้อำนาจตุลาการลงโทษเธอ
 
นี่คือสิ่งซึ่งซูจีมองเห็น ด้วยจิตสำนึกของผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่นักประชาธิปไตยหรือนักสิทธิมนุษยชน “สมัครเล่น” ที่เจอเข้ากับตัวเองก็เป๋
 
ซูจีต่างกับทักษิณราวฟ้ากับเหว จริงครับ แต่ซูจีก็ต่างจากสุรพงษ์ ชัยนาม ราวฟ้ากับเหวเช่นกัน (บรรพชนคือ อ.ดิเรก ชัยนาม ลูกศิษย์ก้นกุฎีของ อ.ปรีดี)
 
สิ่งที่ควรชื่นชมซูจีคือ เธอพูดโดยไม่ได้หวังผลทางการเมือง เพราะเป็นที่รู้กันว่าเผด็จการทหารพม่ามีความสัมพันธ์อันดีกับทักษิณ ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันที่มีกษิต ภิรมย์ เป็น รมต.ต่างประเทศ มีความสัมพันธ์ร้าวฉานเพราะกดดันให้พม่าปล่อยซูจี ถ้าเธอหวังผลทางการเมือง อย่างน้อยเธอก็ไม่พูดเสียดีกว่า
 
นี่คือหญิงเหล็กประชาธิปไตยที่คู่ควรแก่การยกย่อง
 
                                                                   ใบตองแห้ง
                                                                   26 เม.ย.53

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net