15 พ.ค. 53 กลุ่มสันติประชาธรรม ออกแถลงการณ์ ลงวันที่ 14 พ.ค. เรียกร้องสื่อกระแสหลักเข้าใจผู้ชุมนุม ตั้งคำถาม ทำไมแค่พิธีกรรมสุเทพมอบตัว รับบาลจึงไม่ทำ แต่ฉวยโอกาสล้มปรองดอง หวังบีบกองทัพจัดการผู้ชุมนุม โดยแถลงการณ์มีบทวิเคราะห์และรายละเอียด ดังนี้
0 0 0
แถลงการณ์
กลุ่มสันติประชาธรรม
Santi prachatham Communigue
(๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
สังคมต้องการเจตน์จำนงอันแน่วแน่ และแผนปรองดองแห่งชาติ
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ความพยายามที่จะประนีประนอม ระหว่างรัฐบาลและแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเมือง ที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ ต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย เงามืดของความรุนแรง การนองเลือด กำลังก่อตัวเข้าปกคลุมพื้นที่ของผู้ชุมนุมอย่างน่ากลัว ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการขาดเอกภาพในหมู่แกนนำ นปช. แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการขาดเจตน์จำนงอันแน่วแน่ของฝ่ายรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทางประชาธิปไตย-เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ และสันติวิธี
เมื่อแกนนำ นปช. ปฏิเสธ ที่จะสลายการชุมนุมในทันทีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เสนอเงื่อนไขให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน และยุบสภาระหว่างวันที่ 16-30 กันยายนได้ทำให้ภาพพจน์ของนปช. กลายเป็นฝ่ายที่บิดพริ้วข้อตกลง ต้องการให้เกิดการแตกหัก พร้อมจะเอามวลชนเข้าแลก บ้างก็ว่าเพื่อฟื้นฟูผลประโยชน์ของอดีต นรม. ทักษิณ บ้างก็ว่า นปช. เป็นพวกได้คืบ จะเอาศอก รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ อุตส่าห์เข้ารายงานตัวต่อกรมสอบสอนคดีพิเศษ หรือ DSI แล้ว นปช.ก็ยังไม่พอใจ กลับเปลี่ยนเงื่อนไขให้นายสุเทพเข้ามอบตัวต่อตำรวจแทน สำหรับผู้ที่ไม่ชอบมวลชนคนเสื้อแดง ปฏิกิริยาดังกล่าวของ นปช. ย่อมตีความเป็นอื่นไม่ได้
แต่หากวิเคราะห์ข้อเรียกร้องที่ให้นายสุเทพเข้ามอบตัวต่อตำรวจแทน DSI ก็จะพบว่าข้อเรียกร้องดังกล่าว แยกไม่ออกจากความแค้นเคืองต่อเหตุการณ์ 10 เมษา ที่ยังฝังแน่นอยู่ในสำนึกของมวลชนคนเสื้อแดง ที่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ไม่มีแม้แต่คำกล่าวขอโทษจากนายอภิสิทธิ์ เสมือนว่าการตายและบาดเจ็บจำนวนมากในวันนั้น เกิดขึ้นกับชีวิตของพลเมืองที่ไร้ค่าของประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชนกระแสหลัก ปฏิบัติต่อความตายของคนเสื้อแดงนั้น แตกต่างราวฟ้ากับดินกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมวลชนเสื้อเหลือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นี่คือภาวะ “สองมาตรฐาน” อีกประการหนึ่ง ที่สังคมใช้กับคนเสื้อแดง
ฉะนั้น ก่อนที่จะประกาศให้มวลชนแยกย้ายกันกลับบ้าน แกนนำ นปช. จำเป็นต้องแสดงให้มวลชนของตนเห็นว่า เมื่อได้สิ่งที่ต้องประสงค์คือการยุบสภาและเลือกตั้งแล้ว พวกเขาจะไม่เดินข้ามศพมวลชนของตนไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาต้องการความยุติธรรมเพื่อยืนยันสิทธิในชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บเฉกเช่นประชาชนชาวไทยทุกผู้ทุกนามจะพึงมีโดยเสมอเหมือนกัน
นอกจากนี้ เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศรับแผนปรองดองของรัฐบาล ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย ที่เจ็บแค้นอย่างมากต่อเหตุการณ์ 10 เมษายน นี่คือสิ่งที่สื่อกระแสหลังมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ
จริงอยู่ ไม่ว่านายสุเทพ จะมอบตัวกับ DSI หรือตำรวจ ทุกฝ่ายรู้ดีว่านายสุเทพ จะไม่มีวันถูกจับกุมคุมขัง ตราบเท่าที่พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลอยู่ แต่อย่างน้อยประชาชนเสื้อแดง ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า DSI ในยุคของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ข้อเรียกร้องให้นายสุเทพ เข้ามอบตัวต่อตำรวจจึงเป็นเสมือนพิธีกรรม ว่าการดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนในอาชญากรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เริ่มขึ้นแล้ว เป็นพิธีกรรมเพื่อลดกระแสความไม่พอใจของมวลชนเสื้อแดงที่แกนนำ “สายพิราบ” นำตัดสินใจจะยุติการชุมนุม
ปัญหาคือ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ยอมรับพิธีกรรมง่าย ๆ เช่นว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ ทำไมจึงปล่อยให้ประเด็นปลีกย่อยเช่นนี้ มาทำลายเป้าหมายทางการเมือง ที่สำคัญกว่าหลายเท่า ได้อย่างง่ายดาย ทำไมเจตน์จำนงที่จะให้เกิดการปรองดองแห่งชาติ ของนายอภิสิทธิ์จึงอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อ หรือจริง ๆ แล้วนายอภิสิทธิ์ไม่เคยเชื่อในแผนปรองดองแห่งชาติของตนจริง ๆ เลย แต่เป็นเพียงกลอุบาย เพื่อซื้อเวลาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลต่อไปเท่านั้น
สิ่งนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไปว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ปรารถนาที่จะให้มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงต้องหันมาใช้แผนปรองดองแห่งชาติ แต่เมื่อแกนนำ นปช. พลาดท่าเสียทีทางการเมือง สูญเสียความชอบธรรมในสายตาสาธารณชน (โดยมีสื่อกระแสหลักเป็นตัวหนุนช่วย) นายอภิสิทธิ์ก็พร้อมที่จะบอกยกเลิกสัญญาในทันที
ฉะนั้น กลุ่มสันติประชาธรรม จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อทั้งฝ่าย นปช. และรัฐบาลดังนี้
1. แกนนำ นปช. ที่เป็นฝ่ายช่วงชิงและยึดกุมการนำอยู่ในขณะนี้ ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่รักษาชีวิตของผู้ชุมนุมให้ได้ โดยจะต้องยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด แม้ว่าแกนนำบางส่วนของ นปช. จะไม่ได้รับการประกันตัวตามวิถีทางประชาธิปไตยก็ตาม
2. รัฐบาลจะต้องมีความอดกลั้นและความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธีให้มากขึ้น นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ใช้เรื่องการปรองดอง เพียงเพื่อสร้างภาพพจน์และซื้อเวลาให้กับตนเอง รัฐบาลจะต้องยุติความพยายามใช้กำลังเข้าสลายและปราบปรามผู้ชุมนุม
3. รัฐบาลจะต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเป็นหลักประกันว่าแกนนำและมวลชนของ นปช. จะต้องได้รับการปฏิบัติทางกฎหมายตามวิถีทางประชาธิปไตยโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบบ “สองมาตรฐาน”โดยเด็ดขาด
ผู้คนทั่วโลก กำลังเฝ้าดูว่าความล้มเหลวของแนวทางการเมืองในขณะนี้ จะนำไปสู่ความตายอีกกี่ศพ บาดเจ็บอีกกี่พันคน คนจำนวนไม่น้อยอาจสะใจหรือไม่รู้สึกรู้สมกับความตายของคนเสื้อแดง แต่บรรดาผู้ที่เรียกร้องให้มีการปราบปรามประชาชน โปรดตระหนักด้วยว่าคนจำนวนมหาศาล จะยิ่งรู้สึกเคียดแค้นกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ความเคียดแค้นนี้จะสั่งสมและซ้ำเติมสังคมไทยจนยากที่จะเยียวยาได้ ความคับแค้นนี้จะไม่มีวันสลายตัวไปได้ ตราบเท่าที่สังคมนี้ยังปฏิบัติต่อประชาชนเสื้อแดงด้วย “สองมาตรฐาน” ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ต้องตระหนักว่าลำพังแค่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ตนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้นำต่อไป แต่สมควรลาออกและประกาศยุบสภาในทันทีภายหลังเหตุการณ์นั้นแล้ว หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง และมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีก นายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้นำพลเรือนคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ที่จะถูกประณามและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ร่วมกับเผด็จการทั้งหลายทั้งปวงในบ้านนี้เมืองนี้
"ถ้ายึดมั่นในหลักประชาธรรมแล้ว
ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี...
การใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้น
แม้จะสำเร็จ อาจจะได้ผลลัพธ์เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
จะไม่ได้ประชาธรรมถาวร
เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ ก็ย่อมคิดใช้อาวุธโต้ตอบ
เมื่ออาวุธปะทะกันแล้ว จะรักษาประชาธรรมไว้ได้อย่างไร"
(ป๋วย อึ๊งภากรณ์ “บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี” 2515)