การเข้าสลายการชุมนุมโดยอาศัยวาทกรรม เข้ากระชับวงล้อม ในวันที่19 พ.ค. 2553 นั้นหมายถึงการล้อมปราบ เหมือนเหตุการณ์ความรุนแรง ของรัฐเผด็จการ ในยุค 6 ตุลา 2519 เพราะราชประสงค์คือใจกลางเมืองหลวงสมัยใหม่ การที่แกนนำได้ยื่นข้อเรียกร้อง จะเข้ามอบตัวกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของ นายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เป็นสัญญาณในการแสวงหาการยุติความรุนแรงที่มีการเข้ามาขอกระชับวงล้อม ของ ศอฉ ซึ่งน่าจะทำให้บรรยากาศการใช้อาวุธของทหารลดลง หรือน่าจะทำให้ทหารกลับถอยร่นลงไปเพื่อเข้าสู่แนวทางการประนอมการต่อสู้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียของประชาชน หากมีการเกลี้ยกล่อมของหน่วยสันติวิธีของรัฐบาล ซึ่งในเมืองไทยยังไม่เคยนำมาใช้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองเพื่อลดอุณหภูมิของผู้เป็นเดือดเป็นแค้นอยู่ในขณะนั้นให้ตั้งสติเพื่อ กำหนดท่าทีของผู้ชุมนุมได้
แต่ ศอฉ กลับเลือกปฏิบัติในแนวทางเข้าสลายปราบปรามอย่างต่อเนื่อง จะอ้างว่าเพราะผู้ชุมนุมมีอาวุธร้ายแรงนั้นเป็นเรื่องยิ่งทำให้เข้าใจว่า ศอฉ และทหาร คิดต่อผู้ชุมนุมว่าเป็น "ศัตรู" แทนที่จะเข้าใจว่าอาจจะเป็น "ผู้หลงผิด" เหมือนกับที่ให้พื้นที่ในการกลับใจ และช่วยให้เปิดทางการเจรจาต่อผู้ชุมนุมด้วย ดังนั้นการก่อการจราจลทั่วประเทศนั้น มีการเผาทำลายทรัพย์สิน27 แห่งทั่วประเทศ เพราะการเลือกใช้วิธีการที่ผิด ของ ศอฉ ไม่มีการลดลาวาศอกต่อผู้ชุมนุม ทำให้เรื่องปานปลายใหญ่โตยากที่จะควบคุมได้
และการที่ ศอฉ ประกาศเคอร์ฟิว หรือ การห้ามออกจากเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว (ฝรั่งเศส: couvre feu, อังกฤษ: curfew) หมายถึง คำสั่งของรัฐบาลให้ประชาชนกลับเคหสถานก่อนเวลาที่กำหนด อีกนัยหนึ่งคือการห้ามประชาชนออกจากเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักเป็นเวลากลางคืน) ซึ่งเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้ความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย
คำว่า "เคอร์ฟิว" หรือ การกำหนดเงื่อนเวลา นั้นยิ่งสร้างบรรยากาศ ศึกสงคราม ซึ่งเป็นวิธีการที่หาทางเยียวยาอาการป่วยของสังคมด้วยยาแรงนี้ ถ้าหาย คือ หาย ถ้า ไม่หาย ยิ่งมีผลกระทบมหาศาล และอาจเป็นไปได้ว่าแม้จะหายต่ออาการเจ็บป่วย แต่มีผลข้างเคียงแน่ๆ
ศอฉ. กับบทบาท บนเส้นทางการรักษาความสงบเรียบร้อยให้คืนกลับมานั้น โดยที่ยังมิได้ประเมินถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นและนี่เป็นครั้งแรกในเหตุการณ์การก่อการจราจลใหญ่ทั่วประเทศ ซื่งมุมมองที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ต่อ สังคมและประเทศชาตินั้น นับวันจะนำไปสู่สิ่งที่ไม่คาดฝัน หรือ อันตรายอาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เราคงไม่อยากให้เมืองกรุงเทพฟ้าอมร เป็นดังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเริ่มมีนักรัฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตกันให้แซด หากเรื่องของเรื่องนั้นมีรัฐบาลเป็นตัวสำคัญของเรื่อง การจะกล่าวถึงต้นตอของเหตุหนึ่งของปัญหา คือ การยุบสภา นั้นนับว่ายังเป็นยาดีที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุด ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถพิจารณาในการตั้งต้นยุบสภา แลกำหนดการเลือกตั้ง ทางออกในการแก้วิกฤตในขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะทำคะแนนและสร้างความเป็นธรรมกับสังคม ประเทศชาติ
และสามารถทำให้ความโกธรแค้นของผู้ชุมนุมจางไปได้มาก จนนำไปสู่ความสงบสุขและสันติภาพ มาสร้างสันติภาพกันเถิด ดีกว่าเห็นสภาพสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นกระแสทางคิดการรัฐประหารมันคือการเข้าสู่สงครามรอบใหม่และอาจสุดทางการปิดประเทศ รัฐ มีทางเลือกสองทาง คือ จะเอาสงคราม หรือ สันติภาพ