Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

หากมองเฉพาะประเด็นการต่อรองเรื่องเงื่อนเวลาในการยุบสภา แผนปรองดอง และเงื่อนไขการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของแกนนำ นปช.และฝ่ายรัฐบาล ก็อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้

แต่ถ้ามองให้เห็นว่าการต่อรองในเรื่องดังกล่าวอยู่บนสภาวะที่เป็นจริงของความขัดแย้งเช่นไร อาจทำให้เราเข้าใจได้ว่าสงครามกลางเมืองครั้งนี้ยากอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้ กล่าวคือ

1. สังคมไทยตกอยู่ในสภาวะแยกแย้งขึงตึงมากว่า 4 ปี ที่ฝ่ายหนึ่งพยายามลากดึงให้ก้าวไปข้างหน้า แต่อีกฝ่ายพยายามฉุดดึงให้ถอยหลัง ทว่าความซับซ้อนคือ ฝ่ายที่น่าจะดึงสังคมให้ก้าวไปข้างหน้ากลับฉุดดึงให้ถอยหลัง ฝ่ายที่สังคมเคยเชื่อกันตลอดมาว่าอยู่ข้างหลังกลับเป็นฝ่ายพยายามลากดึงสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า

ฝ่ายคนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางระดับล่าง และคนรากหญ้า คือฝ่ายที่พยามลากดึงสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยระบบตัวแทนที่พ้นไปจากอิทธิพลของอำมาตย์ และยึดมั่นในระบบการเลือกตั้งที่ยึดหลักความเสมอภาคของ  “1 คน = 1เสียง” แต่คนชั้นกลางที่มีการศึกษา ที่สามารถส่งเสียงดังผ่านสื่อกระแสหลักได้มากกว่า มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆมากกว่า กลับเป็นฝ่ายฉุดรั้งสังคมให้ถอยหลังสู่ความเป็นประชาธิปไตยในกำกับของอำมาตย์และทหารมากขึ้น

2. ความซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก คือ แนวร่วมของฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าคือกลุ่มทุนใหม่และพรรคการเมืองที่ทั้งร่วมอุดมการณ์เดียวกันและคอยฉกฉวยประโยชน์ ขณะที่แนวร่วมของอีกฝ่ายคือกลุ่มอำนาจจารีต พรรคการเมือง และกลุ่มทุนที่ทั้งสนับสนุนเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจล้าหลัง อำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์เฉพาะหน้าอื่นๆ

3. ฝ่ายที่ฉุดดึงสังคมให้ถอยหลัง เป็นฝ่ายที่ไม่ศรัทธาและสร้างความเสื่อมศรัทธาในประชาธิปไตยระบบตัวแทน ดังที่มักเย้ยหยันระบบการเลือกตั้งเสมอๆว่า “ประชาธิปไตย 4 วินาที” และมักตัดสินฝ่ายเสื้อแดงว่ารับเงินซื้อเสียง เป็นเครื่องมือของนักการเมืองโกง

4. คำดัดสินดังกล่าวนั้นอยู่บนทัศนะที่ว่า คนจน คนไร้การศึกษา ไม่อาจมีอุดมการณ์ทางการเมืองได้ ดังที่พวกเขาแยกแยะมวลชนเสื้อแดงโดยเฉพาะที่มาจากชนบทว่า 1) มาเพราะรักทักษิณ 2) มาเพราะถูกจ้าง 3) มาเพราะมีปัญหาความยากจนต้องการให้รัฐบาลช่วย ไไม่มีกลุ่มที่มาด้วย “อุดมการณ์” เลย (ถ้ามี ก็อาจจะมีเพียงจำนวนน้อยที่แฝงอยู่ในผู้ชุมนุม อาจจะน้อยกว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยซ้ำ?)

ปัญหาคือ ถ้าอุดมการณ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคนมีคุณค่า และอุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของผู้ออกมาต่อสู้และการต่อสู้ของเขามีคุณค่า และน่าเคารพ เมื่อคนชั้นกลางระดับล่างที่พอมีการศึกษา คนจน คนไร้การศึกษา คนชนบทถูกตัดสินว่า ไม่ใช่คนที่สามารถจะมีอุดมการณ์ได้เฉกเช่นคนมีการศึกษาหรือปัญญาชน ก็เท่ากับพวกเขาถูกมองว่าเป็นคนไม่มีคุณค่าพอสำหรับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พวกเขาจึเป็นได้เพียง “เครื่องมือ” ของนักการเมืองโกงเท่านั้น ฉะนั้น การยอมสูญเสียชีวิตของคนเหล่านั้น ที่ไม่ใช่เสรีชนผู้มีอุดมการณ์ จึงเป็นความจำเป็นที่ยอมรับได้ (ดังเสียงเรียกร้องไม่ให้ยุบสภา ให้ทหารใช้กฎอัยการศึกกับคนเสื้อแดง หรือให้ทหารรีบขจัด “ขยะสังคม” ให้มันจบเร็วๆ เพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่มีค่าเหนือชีวิต)

5. การตัดสินคนเสื้อแดง (ส่วนใหญ่) ว่าไม่สามารถมีอุดมการณ์ได้ โง่ ไร้การศึกษา ไม่รู้จักประชาธิปไตย ถูกซื้อด้วยเงิน ฯลฯ คือวาทกรรมที่ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลากว่า 4 ปีมานี้

ในแง่หนึ่งมันทำให้ฝ่ายผู้ตัดสินประเมินค่าความเป็นคนของคนเสื้อแดงต่ำกว่าคุณค่าความเป็นคนของฝ่ายตน (ซึ่งเปี่ยมด้วยอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์) ทำให้เห็นว่า “ความตาย” ของคนเสื้อแดงเป็นความจำเป็นและสมควร

ในแง่หนึ่งการถูกกดข่มเช่นนั้น (เช่น ประณามว่าเป็นพวก “กเฬวราก” ฯลฯ) อย่างต่อเนื่องยาวนาน ย่อมทำให้คนเสื้อแดงสั่งสมความโกรธแค้นที่รอเวลาระเบิด!

แล้วก็มาถึงจุดระเบิด เมื่อคนเสื้อแดงถูกปิดสื่อ (หลังจากพื้นที่สื่อกระแสหลักปิดตายมานานแล้ว การปรากฏเรื่องราวคนเสื้อแดงบนสื่อกระแสหลัก เป็นเรื่องราวที่ “ถูกเล่า” โดย “คนอื่น” ที่มักเป็นฝ่ายพิพากษาคนเสื้อแดงจากมุมมองและอคติของฝ่ายตน) ถูกสลายการชุมนุมจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ความกล้าวิ่งเข้าหาความตายและความรุนแรงกลายเป็นทางเลือกที่จำเป็นที่คนเสื้อแดงต้องการจะบอกสังคมนี้ว่า พวกเขามาด้วยอุดมการณ์ ยอมตายเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยและความเป็นธรรม (แต่แน่นอนว่าโดยสัญชาตญาณพวกเขาย่อมไม่ยอมถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว)

6. ความรุนแรงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา การใช้ความรุนแรงของคนเสื้อแดงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง (แม้เมื่อต้องต้านอำนาจรัฐที่ให้กองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ที่มีอำนาจของความรุนแรงมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้) แต่สังคมควรเข้าใจว่า คนเสื้อแดงเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงตลอดมาด้วยวาทกรรม (ความเคยชินหรือวัฒนาธรรม) ตัดสินว่าพวกเขาไม่อาจเป็นเสรีชนที่มีอุดมการณ์ มีคุณค่าความเป็นคนต่ำกว่า และถูกกดทับด้วยโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม ถูกกดขี่เอาเปรียบมาอย่างยาวนาน

แต่กระนั้น สงครามกลางเมืองอาจไม่จำเป็นต้องเกิด หากรัฐบาลอภิสิทธิและอำนาจที่อยู่เบื้องหลังไม่ประเมินคนเสื้อแดงต่ำเกินความเป็นจริงมากเกินไป ลุแก่อำนาจจนเกินไป กลัวทักษิณเกินไป ไร้มนุษยธรรมมากเกินไป

น่าเสียดาย แทนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะแสดงวุฒิภาวะที่เหนือกว่า ด้วยการแสดงสปิริตประชาธิปไตย ไม่ปิดสื่อ และเปิดพื้นที่สื่อของรัฐให้กับฝ่ายตรงข้าม และชิงประกาศยุบสภาโดยเร็ว (ทั้งที่มีโอกาสจะตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานี้!) แต่กลับใช้กำลังทหารมาแก้ปัญหาการเมือง

ราคาที่ต้องจ่ายของการตัดสินใจอย่างไร้ภาวะผู้นำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ อำนาจที่อยู่เบื้องหลัง และกองเชียร์ที่จิตใจอำมหิต คือสงครามกลางเมือง หายนะของประเทศ และความมืดมิดของอนาคตสังคมไทย!

ปล. แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าจะชนะในระยะยาว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net