Skip to main content
sharethis

(รอยเตอร์) แม้ทางการไทยจะควบคุมสถานการณ์ในกรุงเทพส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่สันติภาพในประเทศไทยก็ช่างดูเปราะบาง เนื่องจากความสับสนอลหม่าน การจลาจล และการวางเพลิงที่ปะทุขึ้นหลังจากการกองทัพเข้าควบคุมสถานที่ชุมนุมของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลได้

ผู้ประท้วงชาวเสื้อแดงหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนบทและคนจนเมืองได้อพยพออกจากพื้นที่ป้อมค่ายการชุมนุมของพวกเขา การปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงและนองเลือดในครั้งนี้สร้างหวาดกลัวและความโกรธแค้นที่ฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นล่าง

ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ไม่มีครั้งใดที่ความรุนแรงในเขตเมืองเกิดขึ้นอย่างยาวนาน รุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหายมากในวงกว้างมากเช่นนี้ และไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งระหว่างพลเรือนด้วยกันเฉกเช่นครั้งนี้  นายแดนนี่ ริชาร์ด นักวิเคราะห์ จาก ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนต์ ยูนิต (the Economist Intelligence Unit) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความแตกแยกที่ร้าวลึกไปเสียแล้ว แม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการลุกฮือของพลเรือนและการเกิดความรุนแรงทางการเมืองยังมีอยู่ตลอดเวลา”

การปราบปรามผู้ชุมนุมเริ่มต้นก่อนรุ่งสางของวันพุธที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิต 15 ราย และผู้บาดเจ็บเกือบร้อยราย โดยผู้ชุมนุมราวหนึ่งพันห้าร้อยคนได้เข้าไปหลบภัยในวัด ที่ซึ่งร่างผู้เสียชีวิตหกรายถูกพบในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านหลายร้อยคนในนั้นถูกเกลี้ยกล่อมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อาคารหลายสิบแห่งถูกเผา ซึ่งรวมไปถึงธนาคาร ตลาดหุ้น และห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่เป็นที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนรุ่งเช้าความเงียบสงบเริ่มมาเยือน ไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ที่ราชประสงค์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การลุกฮือของผู้คนยังคงดำเนินอยู่ในเขตดินแดง พื้นที่ที่มีการประทะกันอย่างเข้มข้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประท้วงหลายสิบคนเผายางรถยนต์และเผาธนาคาร ทหารได้ใช้ปืนยิงสกัดผู้ชุมนุม

นักวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์กล่าวว่าก้าวต่อไปของไทยนั้นขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นผู้มีมลทินเนื่องจากเนื่องจากเป็นผู้ควบคุมสั่งการปฏิบัติการทางการทหารที่ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตมากถึง 82 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือนนับตั้งแต่วันที่สิบเมษายนเป็นต้นมา นับตั้งแต่การไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ในครั้งนี้ระหว่างรัฐบาลซึ่งหนุนหลังโดยชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมและกลุ่มผู้ประท้วงที่ได้รับการสนับสนุนโดยมวลชนจากชนบทและจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้จำนวนผู้บาดเจ็บมากแล้วถึง 1,800 ราย

ดร. ไมเคิล มอนเทซาโน จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสถาบันสิงคโปร์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เพียงแต่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสีย แต่เขาจะต้องถูกจดจำในฐานะของบุคลที่การตัดสินใจอย่งผิดพลาดในการปราบปรามผู้ชุมนุมกระทั่งนำมาสู่การเผาเมืองกรุงเทพในที่สุด

แม้ตอนนี้กองทัพจะสามารถควบคุมกรุงเทพและป้อมค่ายของผู้ชุมนุมได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นแสนแพง ด่านตรวจติดอาวุธจำนวนมากยังคงรักษาพื้นที่ราวหกตารางกิโลเมตรอย่างเข้มงวด กรุงเทพราตรีกลายเป็นเมืองแห่งควันไฟและซากปรักหักพังท่ามกลางการประกาศอัยการศึกยามวิกาล

ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่า “คำถามก็คือว่า กองทัพจะต้องเข้ารักษาความสงบอย่างเข้มงวดเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ความโกรธของผู้คนยังคงคุกรุ่น”

คนเสื้อแดงต้องการการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบจากเสียงประชาชนส่วนใหญ่ในก้าวขึ้นสู่อำนาจ ขณะที่อภิสิทธิ์ก็ยกเลิกข้อเสนอของตนเรื่องการจัดการเลือกใหม่ นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าความรุนแรงในขณะนี้คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศไทย ประเทศที่ตามรายงานของธนาคารโลกระบุว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากที่สุดแห่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แกนนำผู้ชุมนุมซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ได้ขอร้องให้ผู้ประท้วงอยู่ในความสงบ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ได้กล่าวกับผู้ชุมนุมของเขาผ่านทางโทรทัศน์ขณะที่ถูกควบคุมตัวอยู่ว่า “ประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างได้บนความโกรธและความพยาบาท” พร้อมทั้งขอร้องให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน

การลุกฮือของคนชนบท
กษัตริย์ภูมิพลซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยยังไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ปกติแล้วท่านจะเป็นผู้ปลดชวนความขัดแย้งและวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อสิบแปดปีก่อนด้วย ทั้งนี้ท่านเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว

เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่มากของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานของคนในประเทศกว่า 15 % แหล่งข่าวจากสภาพัฒน์ฯ กล่าวว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความไม่สงบทางการเมืองในช่วงเก้าสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเสียหายราวสามพันล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 1% ของ GDP
กฎอัยการศึกที่ถูกขยายเวลาออกไปอีกสามวันทั้งในเขตกรุงเทพและอีก 23 จังหวัด ก่อให้เกิดคำถามที่ว่าฝ่ายรัฐยังคงหวาดกลัวกับการลุกฮือที่จะเกิดขึ้นอีกเนื่องจากความขัดแย้งทางชนชั้นใช่ไหม การจลาจลแพร่ขยายในหลายจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ทีมีประชากรมากเกินครึ่งหนึ่งของประเทศและพื้นที่ที่มีชาวเสื้อแดงอยู่มาก อย่างไรก็ตามเหตุการณ์จลาจลก็เริ่มสงบลงแล้วท่ามกลางการร้องขอของแกนนำสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า มีประชาชนราว 13,000 คน กำลังจ้องรอคอยที่จะก่อความไม่สงบและทำผิดกฎหมายในจังหวัดต่างๆที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก

ในกรุงเทพ เพลิงที่เผาไหม้ในหลายจุดแม้จะเริ่มดับแต่ก็ยังคงคุกรุ่น ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งได้ถูกทำลายลง ขณะตัวโครงสร้างอาคารได้ล่มลงแล้ว

บาดแผลในจิตใจ
ป้อมค่ายของผู้ชุมนุมถูกสร้างขึ้นในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร พื้นที่ที่เต็มไปด้วยโรงแรมหรูและห้างสรรพสินค้าห้าดาวขนาดใหญ่ พื้นที่ตอนนี้สกปรกรกรุงรังเต็มไปด้วยขยะ เศษเสื้อผา กลิ่นเหม็นจากสิ่งปฏิกูล ขณะนี้ไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดการปะทะอีกแล้ว ทหารบางส่วนก็ลาดตระเวรพื้นที่ บางส่วนก็นั่งตามทางเดินใกล้กับซากปรักหักพังของรถบรรทุกที่เป็นผลมากจากระเบิดและการปะทะที่ด่านตลอดคืน พวกเขาดูผ่อนคลายและส่งยิ้มให้สื่อมวลชน

นักข่าวหกรายถูกยิงจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมทั้งช่างภาพชาวอิตาลีที่เสียชีวิตเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การยอมมอบตัวของแกนนำและแนวโน้มของการยุติความรุนแรง ณ ปัจจุบันที่ในรอบหกวันที่ผ่านมามีคนตายแล้วอย่างน้อย 53 รายและบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 400 ราย สามารถมองย้อนกลับไปได้ถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมาและแผนการปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเคยเสนอก่อนหน้าที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้น

“เราอาจจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นการซ่อมถนน แต่ไม่มีใครทราบว่าอีกนานแค่ไหนที่เราจะซ่อมแซมบาดแผลที่อยู่ในใจและในความนึกคิดของผู้คน” นี่คือคำกล่าวของทางโทรทัศน์ของ สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net