Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 “เรามียานเกราะ มีการเคลื่อนที่เข้าไปในลักษณะเหมือนในสนามรบ ซึ่งต้องยอมรับว่าการจัดกำลังเข้าดำเนินการในครั้งนี้เราไม่ได้ทำเหมือนกับการควบคุมฝูงชน ถ้าหากย้อนไปก่อนหน้านี้จะเห็นภาพของทหารถือโล่ กระบอง เดินเข้าไปเป็นรูปขบวนปึกหนา ๆ เข้าไปประจันหน้ากับผู้ชุมนุม  อันนี้เป็นการควบคุมฝูงชนปกติ”
พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก[1]
การใช้กำลังทหารสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดงของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2553 ถือเป็นการใช้กำลังทหารปราบปรามพลเรือนที่รุนแรงมากสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย โดยในช่วงเวลารวมทั้งสิ้นไม่ถึง 10 วัน มีผู้เสียชีวิตจำนวน 90 รายและผู้บาดเจ็บทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 2,000 ราย [2] นอกจากนี้ยังมีผู้สูญหาย ถูกจับกุมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 [3] และผู้ถูกคุกคามที่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาคือปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นไปโดยชอบธรรมเพียงใด กล่าวคือการใช้กำลังทหารเป็นไปตามหลักสากลว่าด้วยการใช้กองกำลังตามที่ศูนย์อำนวยการณ์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวอ้างหรือไม่ และใครมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ บทความชิ้นนี้จะวิเคราะห์ปฏิบัติการใช้กำลังทหารในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมองตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยหวังว่าจะสามารถช่วยสร้างความกระจ่างให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้บ้างไม่มากก็น้อย
1. สิทธิในการมีชีวิต สิทธิสากลขั้นพื้นฐานที่ถูกละเมิดระหว่างการสลายการชุมนุม
กรณีการใช้กำลังและอาวุธในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองของรัฐบาลต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดง เป็นประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ หลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปฏิบัติการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยพื้นฐานแล้วประกอบด้วย ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration for Human Rights – UDHR) และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองInternational Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) แม้ UDHR จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ถือเป็นบรรทัดฐานที่ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในขณะที่กติกา ICCPR กำหนดให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นรัฐภาคีมีพันธกรณีที่จะต้องเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิทธิในการมีชีวิต (Right to Life)และสิทธิทางการเมือง (
สิทธิในการมีชีวิตเป็นสิทธิพื้นฐานที่ไม่สามารถผ่อนปรนได้ (non-derogable rights) UDHR ข้อ 3 กำหนดว่า ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงแห่งบุคคล ในขณะที่กติกา ICCPR ข้อ 6.1 ระบุว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตมาแต่กำเนิด สิทธินี้ต้องได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย บุคคลจะต้องไม่ถูกทำให้เสียชีวิตโดยอำเภอใจ ที่สำคัญ รัฐภาคีต่อกติกา ICCPR ไม่สามารถเลี่ยงพันธกรณีนี้ได้ แม้ในภาวะฉุกเฉินซึ่งคุกคามความอยู่รอดของชาติ (ICCPR ข้อ 4 และ ICCPR ความเห็นทั่วไป ฉบับที่ 29 เรื่องภาวะฉุกเฉิน (ข้อ 4 (7))
นอกจากจะได้รับการคุ้มครองในหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศแล้ว สิทธิในการมีชีวิตก็ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของไทยเช่นกัน เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 32 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
นอกจากนั้น แม้แต่หลักการสากลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในภาวะความขัดแย้งที่จำเป็นต้องมีการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็น หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย [4] (Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials - BPUFFLEO) และ หลักการเพื่อการป้องกันและสอบสวน การสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและโดยพลการอย่างเป็นผล[5] (Principles on the Effective Prevention and Investigation of Extra-legal, Arbitrary and Summary Executions - PEPIEASE) ยังได้ย้ำความสำคัญของสิทธิดังกล่าว โดยตระหนักว่า การคุกคามชีวิตของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายในฐานะผู้ทำงานรับใช้สังคม ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องและคุ้มครองชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงของประชาชนเช่นกัน ดังนั้นในภาวะความขัดแย้งที่จำเป็นต้องมีการใช้กำลังและอาวุธเข้าควบคุม จะต้องเป็นไปเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธินั้นเป็นหลัก
แต่อย่างไรก็ดี การจัดการวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา รัฐบาลไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ก่อนที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนมากจะเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯในวันที่ 12 มีนาคม จากนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในวันที่ 7 เมษายน หลังมีการบุกรุกรัฐสภาโดยหนึ่งในแกนนำเสื้อแดงฮาร์ทคอร์ ในขณะที่การชุมนุมในส่วนอื่นยังเป็นไปโดยสันติ การประกาศพรก. ฉุกเฉินและจัดตั้งศอฉ.เป็นการให้อำนาจทหารเข้ามาจัดการปัญหาการเมือง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อ การเดินทาง และการรวมกลุ่ม จนนำมาสู่การใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธเข้าปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” ในวันที่ 10 เมษายน หากพิจารณาตามหลักการสากล อาทิ หลัก BPUFFLEO ที่ยอมให้รัฐบาลสามารถใช้กำลังสลายได้ก็ต่อเมื่อการชุมนุมนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย (unlawful) และไม่สันติ (non peaceful) แต่ปฏิบัติการทางทหารของไทยหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ การ “ขอคืนพื้นที่” ในเดือนเมษายน และการ“กระชับวงล้อม” ระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคม จึงส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิในการมีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
2. หลักการดีแต่ปฏิบัติล้มเหลว
รัฐบาลไทยอ้างว่าวัตถุประสงค์และวิธีการสลายการชุมนุมเสื้อแดง ตลอดจนกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ ตามกฎการใช้กำลัง (Rule of Engagement) ของศอฉ. และสอดคล้องกับหลักสากลด้านสิทธิมนุษยชน แต่ในเชิงปฏิบัติกลับส่งผลในทางตรงข้าม กล่าวคือ
2.1 สัดส่วนการใช้กำลังและอาวุธต้องเหมาะสมกับความรุนแรงของสถานการณ์
ในการสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีการใช้ความรุนแรง หลัก BPUFFLEO มาตรา 59 กำหนดให้สัดส่วนการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่รัฐต้องเหมาะสมกับความรุนแรงของสถานการณ์ นอกจากนั้นขั้นตอนการใช้กำลังและอาวุธจะต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก โดยใช้อาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต (non-lethal weapons)ในการควบคุมฝูงชนก่อน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง (หลัก BPUFFLEO ข้อ 3) และลดความสูญเสียและบาดเจ็บ โดยมุ่งที่จะเคารพและรักษาชีวิตมนุษย์เป็นสำคัญ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 56, 11b-c) การใช้อาวุธสังหารต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายและใช้ได้เพื่อป้องกันตนเองและปกป้องชีวิตผู้อื่นเท่านั้น (จะขยายความต่อในข้อถัดไป) นอกจากนั้นหากมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หน่วยแพทย์ต้องสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที (หลัก BPUFFLEO ข้อ 5c) และต้องแจ้งให้ญาติหรือเพื่อนสนิททราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 5d)
หากเปรียบเทียบกับแนวทางการปฏิบัติการใช้กำลังเพื่อ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ตามแถลงการณ์ของศอฉ. โดยหลักการ การปฏิบัติการเป็นอย่างสอดคล้องกับหลักสากล ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่”วันที่ 10 เมษายน บริเวณผ่านฟ้าลีลาศและราชดำเนิน ศอฉ.ประกาศ 7 ขั้นตอนสลายการชุมนุม โดยเริ่มจากเบาไปหาหนักตั้งแต่แสดงกำลัง, ใช้โล่ดัน, ฉีดน้ำ, ใช้เครื่องขยายเสียงกำลังส่งสูง, ใช้แก๊สน้ำตา, ใช้กระบอง และใช้กระสุนยาง
“ในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว เพราะฉะนั้นมาตรการการปฏิบัติในแต่ละขั้นไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนได้ว่ากี่นาที ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะดูตามความเหมาะสมของเหตุการณ์ แต่เรียนยืนยัน…มาตรการการปฏิบัติทุกกรณีจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามจะเข้าต่อต้านและเข้าปะทะกับเจ้าหน้าที่”
พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.กล่าว [6] นอกจากนั้นพล.อ.สรรเสริญยังปฏิเสธการใช้กระสุนปืนจริงโดยเจ้าหน้าที่ทหาร
“ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ที่ถืออาวุธปืนและมีกระสุนจริงคงมีเฉพาะนายทหารสัญญาบัตรและนายสิบอาวุโสเท่านั้น ซึ่งจะอยู่ในแถวหลังสุดของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจะมีภารกิจในการยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อใช้เสียงนั้นข่มขวัญผู้ชุมนุมให้ล่าถอยไปตามแผนงานที่เรากำหนดไว้เท่านั้น”[7]
ในทางปฏิบัติ การสลายการชุมนุมเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษายน ตั้งแต่ช่วงบ่ายก่อนที่จะมีการล้อมปราบผู้ชุมนุมอีกครั้งในช่วงหัวค่ำ (บริเวณถนนดินสอและสี่แยกคอกวัว จนเป็นเหตุให้ศอฉ.ออกมาแถลงถึง “ไอ้โม่ง” ติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม และการเริ่มใช้คำว่า “ผู้ก่อการร้าย” เป็นครั้งแรกในวันที่ 12 เมษายน[8]) มีผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางและกระสุนจริงบริเวณจุดสำคัญหลายราย
จากการสัมภาษณ์ นาย J. Lee อายุ 39 ปี สัญชาติเกาหลี หนึ่งในผู้บาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหาร ขณะเกิดเหตุเวลาประมาณเที่ยงเศษ ของวันที่ 10 เมษายน เขาและภรรยากำลังชุมนุมอยู่บริเวณมัฆวานรังสรรค์ “พี่เห็นกระสุนห่าใหญ่มาก มีทั้งกระสุนจริง กระสุนยาง ยิงมาไม่ยั้ง พี่ใช้มือถือถ่ายกระสุนที่ตกพื้นไว้ด้วย” ภรรยาของนายลีกล่าว ก่อนเล่าว่าอาวุธที่เธอและผู้ชุมนุมใช้ขว้างตอบโต้ทหารได้แก่ ไข่ ถุงใส่ปลาร้า และขวดน้ำ ผลจากการปะทะเป็นเหตุให้นายลีได้รับบาดเจ็บจากกระสุนลูกปลายที่ระเบิดบริเวณหัวไหล่ โดยหมอทำการเย็บแผลให้เรียบร้อย นอกจากนั้นยังมีรอยสะเก็ดเป็นจุดๆตามตัว และกระสุนนัดหนึ่งยังฝังอยู่บริเวณราวนมซ้าย ใกล้รักแร้ [9]
 
 

ภาพกระสุนที่ยังฝังอยู่ในร่างกายของนายลี (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)
นอกจากนั้น ในวันเดียวกัน ปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่”ในยามวิกาล ณ สี่แยกคอกวัว และถนนดินสอ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก มีรายงานการใช้กระสุนยางและกระสุนจริงของเจ้าหน้าที่ทหาร แม้การใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมยังเป็นข้อถกเถียงและต้องมีการพิสูจน์ต่อไป แต่กระนั้นจากรูปถ่ายด้านล่าง (ถ่ายโดยผู้เขียน) การใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุมบริเวณสำคัญของร่างกาย เช่น หน้าผาก หรือลำคอ สามารถเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
 

 

ผู้ชุมนุมเสื้อแดงโชว์แผลบริเวณหน้าผากที่ถูกยิงด้วยกระสุนยาง สี่แยกคอกวัว
ตัวอย่างของนายลีและภาพถ่ายผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนยางแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ปฏิบัติการใช้กำลังทหารตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 10 เมษายน มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ และการใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุมสูงกว่าระดับเข่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุม ถือเป็นปฏิบัติการที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ขัดต่อเกณฑ์สัดส่วนการใช้กำลังที่เหมาะสม นอกจากนั้นปฏิบัติการเวลากลางคืนยังส่งผลต่อทัศนะวิสัยในการมองเห็นของผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ทหารอีกด้วย เหตุใดกองทัพจึงเลือกที่จะปฏิบัติการในเวลาดังกล่าว?
2.2 การใช้กำลังและอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันตัวและปกป้องชีวิตของผู้อื่นเท่านั้น
หลัก BPUFFLEOในหมวดข้อบังคับพิเศษระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถใช้อาวุธหนัก (lethal weapons)ได้ ยกเว้น กรณีดังต่อไปนี้
- เพื่อป้องกันตัว (self-defence) หรือการถูกคุกคามชีวิตของบุคคลอื่น
- เพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมร้ายแรง รวมถึงการคุกคามชีวิต
- เพื่อจับกุมบุคคลซึ่งกำลังกระทำการอันตรายและต่อต้านรัฐ
- เพื่อหรือไม่ให้บุคคลดังกล่าวหลบหนีการจับกุม
- และเมื่อไม่มีวิธีการใดที่มีประสิทธิภาพที่จะให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามการใช้อาวุธสังหารโดยตั้งใจสามารถกระทำได้เมื่อเผชิญสถานการณ์คับขันและหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อปกป้องชีวิตเท่านั้น
จากเหตุการณ์ “ขอคืนพื้นที่” วันที่ 10 เมษายน จนกระทั่งเหตุการณ์ “กระชับพื้นที่” ตั้งแต่วันที่ 14-19 พฤษภาคม มีการยกระดับการใช้กำลังและอาวุธของฝ่ายทหารอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการประกาศใช้กระสุนปืนจริงเพื่อป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายโดย “กลุ่มก่อการร้าย” ติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง
“ตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมากลุ่มก่อการร้าย ผู้ชุมนุมบางส่วน และมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองได้พยายามบุกเข้ากดดันด่านเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตลอดเวลา โดยการใช้อาวุธปืนหลายชนิด ระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดขว้าง และสิ่งเทียมอาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ โดยใช้พี่น้องผู้ชุมนุมเป็นโล่กำบัง เจ้าหน้าที่จึงต้องป้องกันตนเองและประชาชนผู้บริสุทธิ์ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยปฏิบัติตามหลักการใช้กำลังจากเบาไปหาหนัก…ในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่บริเวณสี่แยกคอกวัวในการขอคืนพื้นที่ ที่สถานีไทยคมลาดหลุมแก้ว หรืออนุสรณ์สถานสิบสี่ตุลาก็ดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้อาวุธกับกลุ่มผู้ชุมนุมเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่แล้ว ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่และยึดยานพาหนะ…ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้ เจ้าหน้าที่จึงต้องรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งหากผู้ชุมนุมเคลื่อนเข้าหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ปืนลูกซองกระสุนจริงยิงสกัดกั้น โดยยิงลงพื้นหรือยิงบังคับกรวยกระสุนให้ต่ำในระดับที่สูงไม่เกินหัวเข่า ทั้งนี้เพื่อป้องกันและยับยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ประสงค์ที่จะทำร้ายถึงแก่ชีวิต[10] พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. กล่าว
ที่สำคัญเกณฑ์การใช้กระสุนจริงตามประกาศของศอฉ.จะกระทำใน 3 กรณี คือ
1.     เพื่อยิงข่มขวัญขึ้นฟ้า
2.     เพื่อยิงต่อเป้าหมายเมื่อสามารถตรวจสอบได้ว่ามีกลุ่มก่อการร้าย หรือกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนึ่งคนใดที่ถืออาวุธร้ายแรง อาวุธสงคราม ลูกระเบิดที่จะสามารถทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์
3.     ยิงเพื่อป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่เมื่อจะถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตและไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้
“การใช้ปืนเอ็ม 16 และปืนทาโวร์ของเจ้าหน้าที่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะต้องยิงทีละนัด จะไม่มีการยิงเป็นชุดหรือยิงแบบอัตโนมัติโดยเด็ดขาด และจะไม่มีการใช้อาวุธอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้” [11]
แต่อย่างไรก็ดี ในปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหาร ข้อมูลเกี่ยวกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต 54 ราย จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารในเหตุการณ์ “กระชับวงล้อม” ตั้งแต่วันที่ 14 – 19 พฤษภาคม แสดงการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหารในทางตรงกันข้าม
 
 

ที่มา ปรับปรุงจากข้อมูลสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2553
กราฟด้านบนแสดงสาเหตุของการเสียชีวิตและบริเวณของบาดแผลของผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นจำนวน 54 ราย โดย 40 รายเสียชีวิตจากกระสุนปืน ในขณะที่มากกว่าครึ่งพบบาดแผลบริเวณช่วงบนของลำตัว อาทิ ใบหน้า/ศีรษะ หน้าอก ท้อง ปอด และลำคอ หากวิเคราะห์ประกอบกับสถิติยอดผู้เสียชีวิต ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2553 จากศูนย์เอราวัณ [12] ผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ รวม 2 นาย ขณะที่พลเรือนเสียชีวิต 53 ราย
ข้อมูลบาดแผลและสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าวนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงภาพรวมการปฏิบัติการทางทหารของรัฐบาลไทยอันขัดต่อกฎการใช้กำลัง 3 ข้อที่ศอฉ.ประกาศไว้แล้ว ยังชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า หากผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มีอาวุธสงครามจริง หรือหากมี “ผู้ก่อการร้าย” แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง เหตุใดตัวเลขผู้เสียชีวิตจึงเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ไม่มีอาวุธมากกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เป็นทหารหลายเท่าตัว?
2.2.1 เหยื่อการใช้กำลังทหารเกินขอบเขต (Excessive use of force)
ยกตัวอย่าง กรณีนายสมาพันธ์ ศรีเทพ อายุ 17 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “กระชับวงล้อม” จากการให้การของบิดายืนยันว่าบุตรชายถูกยิงเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการปะทะบริเวณซอยรางน้ำ วัน 15 พฤษภาคม เวลาประมาณ 8.30 น. โดยไม่พบอาวุธใดๆในตัวนายสมาพันธ์และผู้ชุมนุมที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด จากการชันสูตรพลิกศพโดยแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่านายสมาพันธ์เสียชีวิตที่โรงพยาบาล [13] เวลา 11.55 น. จากสาเหตุ “Gun Shot Wound at Head หรือ ถูกกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะด้านหลังทำให้เนื้อสมองฉีกขาด”
การเสียชีวิตของนายสมาพันธ์สะท้อนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารอันขัดกฎการใช้กำลังหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการยิงผู้ชุมนุมมือเปล่าซึ่งไม่สามารถคุกคามชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร การยิงระดับเหนือหัวเข่าให้ถึงแก่ชีวิต (fatal shot) ซึ่งไม่ใช่การยิงเพื่อเตือนหรือสกัดกั้น (warning shot) เท่ากับเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ การกระทำดังกล่าวยังชวนให้ตั้งคำถามต่อปฏิบัติการของรัฐว่า สามารถแน่ใจได้อย่างไรว่ายิงถูกกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งๆที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถระบุตัว “ผู้ก่อการร้าย” ได้?
บิดาของนายสมาพันธ์ยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า พยานซึ่งเป็นเจ้าของบ้านบริเวณที่บุตรชายของเขาถูกยิงบอกเขาว่า ขณะเกิดเหตุนายสมาพันธ์ไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่ทหารไม่ยอมให้อาสาสมัครพยาบาลเข้าไปให้ความช่วยเหลือในบริเวณพื้นที่ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวยังเป็นการละเมิดสิทธิในการมีชีวิตของผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง และขัดหลัก BPUFFLEO มาตรา 5c ที่ระบุให้หน่วยแพทย์ต้องสามารถเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างทันท่วงที
 

ภาพนายสมาพันธ์ถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ “กระชับวงล้อม”
2.2.2 ผู้รอดชีวิตจากการยิงโดยไม่เลือกเป้า (Indiscriminate shooting)
จากการสัมภาษณ์ [14] นายเนลสัน แรนด์ นักข่าว France 24 ชาวแคนาดา วัย 34 ปีให้ข้อมูลว่า วันที่ 14 พฤษภาคม เวลาประมาณ 14.00 น. เขาเข้าไปถ่ายภาพการปะทะกันระหว่างทหารและผู้ชุมนุมเสื้อแดง บริเวณสวนลุมพินี โดยสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงสีฟ้า สะพายกล้องขนาดใหญ่ยืนอยู่ฝั่งผู้ชุมนุม เขาถูกกระสุนที่ยิงมาจากฝั่งทหารยิงติดๆกัน ถูกมือซ้าย ขาซ้าย และท้อง ก่อนการ์ดเสื้อแดงจะช่วยชีวิตไว้โดยพาซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ โดยยังมีการยิงตามหลัง ถูกมอเตอร์ไซด์เป็นรอยกระสุนสองรู เขาบอกด้วยว่าแพทย์ที่ทำการผ่าตัดช่วยชีวิตบอกเพื่อนเขาว่ากระสุนที่ใช้ยิงเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16
การยิงนายเนลสันถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎการใช้กำลังยิงใส่นักข่าว ซึ่งไม่มีอาวุธและไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย ซ้ำยังน่าจะเป็นการยิงแบบอัตโนมัติที่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่ได้มีลักษณะเป็นการสกัดกั้นโดยยิงทีละกระสุนตามที่โฆษก ศอฉ. กล่าวแต่อย่างใด
2.3 มีการควบคุมการใช้อาวุธอย่างระมัดระวัง
หลัก BPUFFLEOกำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนต้องผ่านการอบรมการใช้กำลังและอาวุธอย่างมืออาชีพ และมีการตรวจสอบสมรรถภาพการทำงานอย่างสม่ำเสมอ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 18, 19) ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐมักอยู่ภายใต้ภาวะกดดัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นต้องสามารถเข้าถึงการให้คำปรึกษา (counseling) (หลัก BPUFFLEO ข้อ 21) และได้รับการอบรมเกี่ยวกับจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ สิทธิมนุษยชน ทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการใช้กำลัง อาทิ การเจรจาความขัดแย้งอย่างสันติ ความเข้าใจพฤติกรรมของฝูงชน และวิธีการโน้มน้าวและเจรจาไกล่เกลี่ยต่อรองเพื่อลดการใช้กำลังและอาวุธ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 20)  หลัก PEPIEASE ข้อ 2 ระบุให้รัฐบาลต้องควบคุมการปฏิบัติการใช้กำลังและอาวุธอย่างเข้มงวด รวมถึงการออกคำสั่งอย่างชัดเจนต่อผู้ใต้บังคับบัญชา  ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและโดยพลการ นอกจากนั้นต้องมีควบคุม จัดเก็บ และลงทะเบียนการออกอาวุธอย่างเป็นระบบ รวมทั้งจัดให้มีกระบวนการแสดงความรับผิดชอบต่อการใช้อาวุธในครอบครองของเจ้าหน้าที่รัฐ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 11 a, d)
แต่น่าสังเกตว่า กรณีการสลายการชุมนุมเสื้อแดงโดยใช้กำลังทหารดูจะไม่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ดังกล่าว ยกตัวอย่างกรณีการยิงนายสรายุทธ อำพันธ์ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพร่วมกตัญญู อายุ 22 ปี นายสรายุทธให้สัมภาษณ์ [15] โดยสรุปได้ใจความว่า วันที่ 14 พฤษภาคม ประมาณ 16.00 น. ก่อนเกิดเหตุเขา พร้อมด้วยนายธีรภัทร กลมเกลี้ยง หัวหน้าทีมหน่วยกู้ชีพ และเจ้าหน้าที่หญิงอีกหนึ่งรายได้จอดรถไว้ที่ลานจอดรถโรงแรมพินนาเคิล ซอยงามดูพลี เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุมเสื้อแดง หลังจากนั้นมีผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งวิ่งหนีทหารที่วิ่งไล่กวดมาก่อนหนีออกไปยังท้ายซอย เมื่อทหารตามมาถึงบริเวณที่รถของหน่วยกู้ชีพจอดอยู่ นายสรายุทธและเจ้าหน้าที่หญิงได้เข้าไปหลบอันตรายอยู่ในรถ ส่วนนายธีรภัทรซึ่งยืนอยู่ข้างๆรถให้ข้อมูลว่า ทหารนายหนึ่งซึ่งแต่งกายคล้ายหัวหน้าหน่วยบังคับบัญชาตะโกนใส่เขาว่า “มึงเกี่ยวข้อง(กับผู้ชุมนุม)ด้วยรึเปล่า?” หัวหน้าทีมจึงตอบไปว่า “ไม่เกี่ยว เราเป็นหน่วยกู้ชีพ” พร้อมกับชี้ไปยังเครื่องแบบสีขาวของตน ก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้ชุมนุมหลบซ่อนอยู่และยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่มีอาวุธ แต่ทันทีหลังการเจรจาสิ้นสุดลง ทหารอีกนายซึ่งอยู่ห่างกันไม่เกิน 10 เมตร ได้ยิงปืนเข้าไปในรถของหน่วยกู้ชีพ เป็นเหตุให้กระสุนปืนยิงทะลุเส้นเลือดบริเวณข้อมือซ้ายของนายสรายุทธขณะเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ เพื่อให้ภายในรถสว่าง นายสรายุทธเสียเลือดเป็นจำนวนมาก หัวหน้าทีมจึงรีบขับรถออกจากที่เกิดเหตุเพื่อนำตัวนายสรายุทธไปส่งโรงพยาบาล ขณะขับฝ่ากลุ่มทหารดังกล่าว หัวหน้าทีมได้ตะโกนถามไปว่าเหตุใดต้องยิงกันด้วย หัวหน้าหน่วยบังคับบัญชาตะโกนกลับมาว่า “เพราะพวกมึงขว้างของใส่พวกกูก่อน”
 

ภาพกระสุนปืนความเร็วสูงยิงทะลุกลางกระจกรถหน่วยกู้ชีพ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)
 

คราบเลือดของนายสรายุทธภายในรถของหน่วยกู้ชีพ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)
เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎการใช้กำลังของศอฉ.อย่างชัดเจนหลายประการ
  1. เป็นการตั้งใจยิงโดยถือเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ (reckless shooting / excessive use of force) ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพแสดงตนชัดเจนว่าไม่มีอาวุธและไม่ได้เป็น “ผู้ก่อการร้าย”
  2. เป็นการยับยั้งการทำงานของหน่วยกู้ชีพในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างทันท่วงที ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการมีชีวิตของผู้ที่รอได้รับการช่วยเหลือ
  3. ปฏิบัติการใช้กำลังขณะที่หัวหน้าหน่วยบังคับบัญชาของทหารและลูกน้องอยู่ในสภาพกดดันและมีสภาวะทางอารมณ์ซึ่งไม่ปกติ ส่งผลให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
2.4 มีการตรวจสอบ (Investigation) และการรับผิด (Accountability)
ในกรณีที่มีการใช้อำนาจโดยมิชอบและละเมิดหลักการสากลพื้นฐานดังที่กล่าวมาข้างต้น หลัก BPUFFLEO ข้อ 7และ 8 ระบุให้มีการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาภายในประเทศ โดยไม่มีการยกเว้นไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ นอกจากนั้นผู้บังคับบัญชายังต้องรับโทษหากรับทราบหรือสมควรจะต้องรับทราบกรณีเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาละเมิดหลักการใช้อาวุธ (หลัก BPUFFLEO ข้อ 24 และหลัก PEPIEASE ข้อ 15, 19)
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างหลักสากลและกฎหมายของไทยต่อการรับโทษอันเกี่ยวข้องกับใช้อาวุธขณะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐคือ หลักสากลอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐมีสิทธิปฏิเสธการใช้กำลังและอาวุธได้โดยไม่ต้องรับโทษทางวินัยหรืออาญา (หลัก BPUFFLEO ข้อ 25) โดยเฉพาะหากคำสั่งนั้นนำมาสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บอันมิชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีดังกล่าวผู้บังคับบัญชาต้องแสดงรับผิดชอบต่อการออกคำสั่งของตน (หลัก BPUFFLEO ข้อ 26) ในขณะที่พระราชกำหนดแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของไทย ข้อ 17 ระบุว่า
พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ ไม่จำเป็นต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินแก่กรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
เนื้อหาในมาตราดังกล่าวของพรก.ฉุกเฉินอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความที่ขัดแย้งต่อหลักการสากล เป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต และส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะสิทธิในการมีชีวิต เช่น หลัก PEPIEASE ข้อ 3 รัฐบาลต้องหยุดคำสั่งที่มาจากผู้บังคับบัญชาหรือหน่วยงานใดๆที่จะนำมาสู่การสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและโดยพลการ ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะปฏิเสธการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น
ในแง่การตรวจสอบข้อเท็จจริงความรุนแรงจากการใช้กำลังทหาร หลัก PEPIEASEไม่เพียงแต่ระบุเกณฑ์การตรวจสอบ รวมถึงกระบวนการชันสูตรพลิกศพไว้อย่างชัดเจน แต่ยังกำหนดให้รัฐบาลให้ความร่วมมือในการใช้กลไกระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบได้ (หลัก PEPIEASE ข้อ 8) การกระทำดังกล่าวจะช่วยให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงมีความน่าเชื่อถือและแสดงถึงความตั้งใจอันดีของรัฐบาลในการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายอีกด้วย
3. สรุป
กฎการใช้กำลังตามหลักสากลคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของทุกคนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะสิทธิในการมีชีวิต ที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองใน UDHR กติกา ICCPR รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักการสากลอื่นๆ โดยไม่เว้นแม้แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การพิจารณาว่าการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุมมีความชอบธรรมหรือไม่ จำเป็นต้องพิจารณาบริบทแวดล้อมควบคู่กัน กล่าวคือการสลายการชุมนุมโดยใช้กำลังตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นผลจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงเพื่อควบคุมการชุมนุมเสื้อแดงที่ดำเนินมาอย่างสันติ ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการเดินทาง และเสรีภาพในการรวมกลุ่มของผู้ชุมนุม ที่เลวร้ายยังนำมาสู่การใช้กำลังอันเกินขอบเขตของรัฐบาลต่อชีวิตของผู้ชุมนุมส่วนมากที่ไม่มีอาวุธ ส่งผลให้เกิดความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบตามมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ลักษณะของปฏิบัติการใช้กำลังของรัฐบาลไทยที่ผ่านมาเป็นการ 1) ยิงโดยไม่เลือกเป้าหมาย (indiscriminate shooting) หรือไม่ได้เป็นไปเพื่อป้องกันตัว 2) ใช้สัดส่วนการใช้กำลังไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงการใช้กำลังเกินขอบเขตจากการยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง (excessive use of force) 3) สั่งปฏิบัติการในเวลาค่ำโดยไม่คำนึงถึงวิสัยทัศน์ในการมองเห็นของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายกับผู้ชุมนุม 4) ขาดการควบคุมการใช้อาวุธอย่างระมัดระวังและเข้มงวด และ 5) ขาดความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติการที่ละเมิดหลักสากลและกฎการใช้กำลังของศอฉ.
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จำเป็นที่รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนปัจจุบันยังไม่มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษแต่อย่างใด หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดี องค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องว่า “จะต้องเป็นไปตามข้อกล่าวหาตามกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่ตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวมทั้งไม่ควรกำหนดให้มีโทษประหารสำหรับการลงโทษใดๆ” [16]
การตั้งคณะกรรมการโดยรัฐบาลและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งสองเหตุการณ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมไทยและนานาชาติ โดยเฉพาะความเป็นกลางของคณะผู้ตรวจสอบ รัฐบาลต้องตระหนักถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาสังคม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะส่งผลให้การประสานความร่วมมือ และความไว้วางใจจากทุกฝ่ายเป็นไปได้โดยยาก ดังนั้นในโอกาสที่รัฐบาลไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council) รัฐบาลไทยควรแสดงเจตจำนงในการเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนของทุกคน โดยใช้กลไกตรวจสอบสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนำมาซึ่งความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และสร้างความสงบสุขและความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างแท้จริง
 
เชิงอรรถ:
[1] ศอฉ.เตรียมส่งกำลังทหารเสริมตำรวจแต่ละพื้นที่เพื่อดูแล ความปลอดภัยให้ประชาชน, 20 พฤษภาคม 2553 http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1779&contents=44812
[2] ตัวเลขดังกล่าวไม่รวมเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ต่างจังหวัด
[3] พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2548/00166932.PDF
[4] หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายhttp://www.legislationline.org/documents/action/popup/id/7786
[5] หลักการเพื่อการป้องกันและสอบสวน การสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและโดยพลการอย่างเป็นผลhttp://www.legislationline.org/documents/action/popup/id/7793
[6] คลิปแถลงการณ์ศอฉ. “ขอคืนพื้นที่” http://www.youtube.com/watch?v=Fdf174wCnxk&feature=related
[7] คลิปแถลงการณ์ศอฉ. “ขอคืนพื้นที่” (นาทีที่ 8.27) http://www.youtube.com/watch?v=Fdf174wCnxk&feature=related
[8] ศอฉ.ยันมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวก่อเหตุ-ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด, 12 เมษายน 2553 http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/43931.html
[9] ประชาไท “รายงาน: ปากคำผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ 10 เมษา 53” http://www.prachatai3.info/journal/2010/04/28999
[10] คลิปศอฉ.การใช้กระสุนจริง http://www.youtube.com/watch?v=ul8zyIqpP-U
[11] คลิปศอฉ.การใช้กระสุนจริง http://www.youtube.com/watch?v=ul8zyIqpP-U
[12] ดู Appendix 1
[13] หมายเหตุ: พยานผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่าเสียชีวิตก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล บิดาได้รับแจ้งข่าวการเสียชีวิตของบุตรชายเวลาประมาณ 10.00 น.
[14] สัมภาษณ์โดยผู้เขียนวันที่ 9 พฤษภาคม 2553 ณ โรงพยาบาล BNH ซอยคอนแวนด์ กรุงเทพฯ หลังนายเนลสันกลับเข้ารับการผ่าตัดแปะเนื้อบริเวณเท้าซ้าย
[15] สัมภาษณ์โดยผู้เขียน ณ ห้องพักพิเศษ โรงพยาบาลพระมงกุฎ
[16] องค์กรนิรโทษกรรมสากล, จดหมายเปิดผนึกถึงฯพณฯ นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระและเป็นกลาง Ref: ASA 39/004/2010, 11 มิถุนายน 2553
 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net