เผยกระแสคุกคามทางเพศในที่ทำงานเพิ่มขึ้น อินเดียแชมป์ ‘นายจ้าง-ผู้บังคับบัญชา’ หื่นสุด

การคุกคามทางเพศต่อคนงานหญิงเพิ่มขึ้น อินเดียแชมป์เจ้านายหื่นกามชอบลวนลามพนักงาน ด้านเพื่อนหญิงชี้ในไทยน่าเป็นห่วง เพราะลามถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนแล้วเจ้าตัวถูกลงโทษพักงาน 1 ปี แต่ชิงลาออกก่อนไม่ยอมรับโทษ

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา Reuters/Ipsos โพลล์ได้เผยผลสำรวจคนทำงาน 12,000 คนจาก 24 ประเทศ พบว่าคนทำงาน 1 ใน 10 คน เป็นเหยื่อของการถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน โดยประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการคุกคามทางเพศสูงที่สุดคือ 26% ตามมาด้วยจีน 18% ซาอุดีอาระเบีย 16% เม็กซิโก 13% แอฟริกาใต้ 10% อิตาลี 9% ส่วนในบราซิล รัสเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐ 8% ตามลำดับ
ส่วนประเทศที่มีการคุกคามทางเพศในที่ทำงานน้อยที่สุดคือ ประเทศสวีเดนและฝรั่งเศส ซึ่งมีเพียง 3% โดยจากผลการสำรวจยังพบว่าพนักงานที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศมากที่สุด
สำหรับข่าวครึกโครมของกรณีชู้สาว-คุกคามทางเพศ ในวงการธุรกิจที่ผ่านมาก็คือการลาออกของ CEO ของบริษัท Hewlett-Packard บริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง และ CEO ของบริษัท David Jones บริษัทค้าปลีกชื่อดังของออสเตรเลีย
John Wright รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยตลาดของ Ipsos กล่าวว่าการที่นายจ้างผู้บังคับบัญชาพยายามจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับพนักงานแต่ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงยืนยาวนั้น นอกจากจะเป็นการคุกคามทางเพศแล้ว ก็ยังถือเป็นการหาประโยชน์ส่วนตนจากตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบอีกด้วย
เพื่อนหญิงชี้ในไทยลามถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนแล้ว
ด้านไทยรัฐออนไลน์ รายงานเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ มูลนิธิเพื่อนหญิงร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดสัมมนา “การคุกคามทางเพศ อาชญากรรมร้ายรายวันของสังคม”
โดย น.ส.พัชรี จุลหิรัญ นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า จากการเก็บสถิติความรุนแรงทางเพศ ที่ผู้ถูกกระทำมาขอคำปรึกษาจากมูลนิธิเพื่อนหญิง ในปี 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 775 ราย ในจำนวนนี้พบว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมากถึง 83 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 แยกเป็น 1.ข่มขืนกระทำชำเรา 45 ราย โดยมีผู้หญิงรายหนึ่งต้องการเลิกกับผู้ใหญ่บ้าน จ.กาญจนบุรี เพราะต้องมีเพศสัมพันธ์เช้ากลางวันเย็น ฝ่ายหญิงขอเลิกแต่ฝ่ายชายไม่ยอม จนต้องแจ้งความดำเนินคดีฐานข่มขืน 2.พรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 8 ราย 3.พรากผู้เยาว์โดยการยินยอมมีเพศสัมพันธ์ 9 ราย 4.รุมโทรม 7 ราย โดยรายหนึ่งถูกรุมโทรมมากสุดถึง 9 ราย 5.อนาจาร 7 ราย 6.คุกคามทางเพศ 3 ราย
นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวต่อว่า ในส่วนของกรณี 7.พยายามข่มขืน ค้ามนุษย์ แอบถ่าย โชว์อนาจาร 4 ราย รายหนึ่งเป็นพี่เขยแอบถ่ายน้องเมีย โดยกลัวว่าจะถูกนำมาเผยแพร่ที่สาธารณะ ที่น่าตกใจ คือ ผู้กระทำ 33 ราย หรือร้อยละ 40 เป็นคนใกล้ชิดกับผู้เสียหาย เช่น เป็นเพื่อน หรือเพื่อนบ้าน โดยผู้เสียหายอายุน้อยสุดแค่ 3 ขวบ โดยถูกญาติใช้นิ้วล่วงละเมิดเด็ก ส่วนผู้กระทำมีอายุมากที่สุด 78 ปี ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการอนาจารลูกตัวเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนอายุ 24 ปีก็ยังขอหลับนอนกับลูกอยู่ อย่างไรก็ตาม การล่วงละเมิดทางเพศดังกล่าว ส่วนใหญ่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้นมากถึง 24% และมีสถิติเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2551
น.ส.พัชรี กล่าวถึงเหยื่อสาวรายหนึ่งที่ถูกละเมิดทางเพศว่า สำหรับกรณีนี้น่าตกใจมาก เป็นเจ้าหน้าที่หญิงรัฐสภาระดับ 5 จบปริญญาโทจากเมืองนอก เป็นคนสวยเพราะเคยเป็นถึงเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกอดีตประธานรัฐสภาคนหนึ่ง พยายามใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้ามาตีสนิท ทั้งยังเคยให้ร่วมเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยกัน กระทั่งเหตุการณ์วันหนึ่งถูกอดีตประธานรัฐสภาที่ว่า บังคับให้เดินด้วยส้นสูง 3 นิ้ว จากชั้น 1 ถึงชั้น 8 ของคอนโด เพื่อนำเอกสารไปส่งถึงตัว และพยายามชักชวนให้ดูบอลแล้วลวนลามจนถึงขั้นละเมิดทางเพศ
“จากเหตุครั้งนั้นทำให้ตัวผู้เสียหายต้องหยุดงานไป 15 วัน เป็นผลให้หัวหน้างานไล่ออกจากงาน ทำให้เจ้าตัวเกิดความเครียด สภาพจิตใจย่ำแย่ ครอบครัวก็ไม่เข้าใจ ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนกระทั่งอดีตประธานรัฐสภาพ้นจากตำแหน่ง จึงได้ฟ้องศาลปกครองเพื่อขอกลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง คดีได้ยืดเยื้อมานานถึง 2-3 ปี เจ้าหน้าที่หญิงรายนี้จึงเข้ามาปรึกษากับมูลนิธิเพื่อนหญิงเมื่อปีที่แล้ว และต้องมาอยู่ในความดูแลของมูลนิธิ เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจอยู่หลายเดือน เนื่องจากศาลปกครองชั้นต้นตัดสินเจ้าหน้าที่หญิงรายนี้ มีความผิดที่หยุดงาน จึงได้อุทธรณ์ต่อศาลจนศาลตัดสินว่าให้กลับเข้ามาทำงานที่รัฐสภาได้อีกครั้ง” นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าว
น.ส.พัชรี กล่าวอีกว่า น่าเป็นห่วงว่าเรื่องการแจ้งความดำเนินคดี กรณีถูกข่มขืนอาจจะทำไม่ได้เนื่อง จากติดข้อกฎหมายขาดความอายุความ เพราะคดีดังกล่าวตามกฎหมายเป็นคดีที่ยอมความกันได้ และมีอายุความแค่ 3 เดือน เนื่องจากผู้ถูกกระทำอายุเกิน 18 ปีแล้ว ตนคิดว่าน่าจะมีการแก้กฎหมายขยายอายุความเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายมีเวลา ฟื้นฟูจิตใจก่อนดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามที่ผู้เสียหายไม่แจ้งความข้อหาข่มขืนตั้งแต่แรก เพราะผู้กระทำอยู่ในอำนาจเป็นถึงประธานรัฐสภาขณะนั้น และผู้เสียหายเป็นถึงลูกข้าราชการระดับสูง จึงเป็นห่วงชื่อเสียงหน้าตาของครอบครัว อีกทั้งถูกเพื่อนร่วมงานมองว่าเป็นการสมยอมจึงไม่กล้าดำเนินการใดๆ
ด้าน น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวถึงพฤติกรรมคุกคามทางเพศที่น่าวิตกอีกรายว่า เมื่อปี 52 มีผู้ชายระดับหัวหน้าองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนกระทำคุกคามทางเพศกับผู้ ใต้บังคับบัญชาผู้หญิงทั้งการพูดจาแทะโลม การลวนลามเนื้อตัวร่างกายทั้งขณะอยู่ในที่ทำงาน และออกไปทำงานนอกสถานที่ โดยคณะกรรมการสอบสวนเรื่องราวการคุกคามทางเพศที่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาสอบสวน มีการเรียกทั้งสองฝ่ายมาสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีการกระทำผิดจริง จึงสั่งลงโทษพักงาน 1 ปี แต่ผู้ชายได้ลาออกไม่ยอมรับโทษ จากการตรวจสอบผู้ชายคนนี้ยังกระทำคุกคามทางเพศกับเจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่ มาทำงานแลกเปลี่ยน
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวต่อว่า ที่น่าห่วง คือ หัวหน้าองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนรายนี้อายุประมาณ 30 กว่าปี เป็นผู้มีชื่อเสียงระดับชาติ ยังได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานสิทธิมนุษยชนระดับชาติ หากคนทำงานด้านสิทธิแต่กลับไปละเมิดคนอื่นเสียเองแล้วจะไปช่วยผู้ถูกละเมิด สิทธิได้อย่างไร ขณะที่กรณีการคุกคามทางเพศในที่ทำงานพบมากที่สุดในหน่วยราชการโดยเฉพาะหน่วยงาน ทหารและตำรวจ ระดับ พล.อ. , พ.อ. ที่คุกคามทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราผู้ใต้บังคับบัญชาในที่ทำงาน รองลงมาเป็นหน่วยงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ โดยมักใช้วิธีเอางานมาบังหน้า ชักชวนให้ออกไปทำงานนอกสถานที่ แล้วบังคับให้ กินเหล้า โดยผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องยินยอม รวมทั้งการจับมือถือแขนในที่ทำงาน ทั้งนี้พฤติกรรมดังกล่าวคนภายนอกอาจมองว่า เป็นความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งที่ผู้กระทำจงใจคุกคามทางเพศ ดังนั้นหน่วยงานต้องดูความเสี่ยงในการร่วมงานระหว่างหญิงชายด้วย
ส่วน น.ส.นิภาพร แหล่พั่ว ฝ่ายข้อมูลและเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลสถิติความรุนแรงทางเพศจากหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับในปี 2552 พบข่าวการละเมิดทางเพศมีถึง 271 ข่าว มีผู้ถูกกระทำทั้งหมด 331 ราย ช่วงอายุของผู้ที่ถูกกระทำมากที่สุด 11-15 ปีมีจำนวน 132 ราย ในจำนวนนี้อายุน้อยที่สุดเพียง 2 ปี 7 เดือน โดยถูกชายในสถานรับเลี้ยงเด็กข่มขืน อายุมากที่สุด 79 ปี ส่วนผู้กระทำมีจำนวน 485 ราย ช่วงอายุ 16-20 ปีมีมากที่สุด 112 ราย โดยผู้กระทำอายุมากที่สุด 73 ปี อายุน้อยที่สุด 4 ขวบ เป็นเด็กอนุบาลที่ถูกครูสั่งให้เอานิ้ว และอวัยวะเพศสอดใส่อวัยเพศนักเรียนหญิง สำหรับประเภทการละเมิดทางเพศมากที่สุด คือ การข่มขืน รองลงมา คือ การรุมโทรม อนาจาร ตามลำดับ โดยสถิติละเมิดทางเพศปี 2552 มากกว่าปี 2551 ที่มี 220 ราย
 
ที่มาข่าว:
Indians most likely to report sexual harassment at work - poll (Reuters, 12-8-2010)
http://news.yahoo.com/s/nm/20100812/india_nm/india508031
Sexual Harassment Rife In Workplace Worldwide (allvoices.com, 12-8-2010)
http://www.allvoices.com/contributed-news/6504555-sexual-harassment-rife-in-workplace-worldwide?r=1
องค์กรฯสตรีเผย ขรก.สาวไทยเสี่ยง ผู้ใหญ่จ้องขยี้กาม (ไทยรัฐ, 9-8-2553)
http://www.thairath.co.th/content/edu/102448

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท