Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

วันที่ 19 ส.ค. 2553 จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยเขียนบทความแสดงความเห็นต่อกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ผ่านบล็อก  http://chaturon.posterous.com/ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

กรณีปราสาทเขาพระวิหาร (1)

เมื่อไม่กี่ปีก่อนรัฐบาลไทยเคยมีนโยบายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยความคิดทางยุทธศาสตร์ว่า การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านเป็นการช่วยเหลือประเทศไทยเองด้วย

ภายใต้นโยบายนั้นประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน  ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา และต่อมามีเวียดนามด้วย มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้นและมีความร่วมมือ คบค้าสมาคมกันมากขึ้น

มีคนเคยคิดกันว่าวันหนึ่ง ถ้ามีการพัฒนาปราสาทพระวิหารให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ทั้งกัมพูชาและไทยจะได้ประโยชน์ และความจริงแล้วไทยจะได้ประโยชน์มากกว่ากัมพูชามาก เพราะทางขึ้นไปชมปราสาทที่สะดวกอยู่ทางฝั่งไทย

แต่จากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และความขัดแย้งแตกต่างระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องนี้ ทำไปทำมากลับกลายเป็นว่าทั้ง 2 ประเทศต่างฝ่ายต่างกำลังชี้แจงข้อมูลต่อสหประชาชาติ ในขณะที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังเตรียมพร้อมในการใช้กำลังทหารมากขึ้น   พร้อมๆกับข่าวที่หลายประเทศกำลังพลอยวิตกไปด้วยว่าเรื่องนี้อาจพัฒนาไปสู่การสู้รบกันระหว่าง 2 ประเทศ

คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาเห็นชอบให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่กรกฎาคม 2551 และกำลังจะพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร  เพียงแต่วันเวลาที่จะอนุมัตินั้นถูกเลื่อนจากปีนี้ไปเป็นปีหน้า

ไม่ว่าจะไปเวทีไหน  การที่ไทยหวังจะขอความเห็นชอบให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัน หรือการที่ไทยจะคัดค้านการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารนั้น  คงต้องยอมรับว่าเลยขั้นตอนไปแล้ว  เมื่อปราสาทพระวิหารได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วจะคัดค้านเรื่อยไป ไม่ให้มีแผนบริหารจัดการก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อีก

ปัญหาที่อาจจะยังแตกต่างกันในรายละเอียดก็คือพื้นที่ที่จะบริหารจัดการจะครอบคลุมแค่ไหน

เท่าที่ฟังการถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลไทยคงจะคัดค้านแผนบริหารจัดการนี้ โดยยืนยันว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทเป็นของไทย หากจะมีแผนบริหารจัดการ  ก็ให้บริหารจัดการได้เพียงตัวปราสาท พื้นที่โดยรอบปราสาททั้งหมดไม่สามารถอยู่ในแผนบริหารจัดการได้

เฉพาะเรื่องแผนบริหารจัดการนี้จะครอบคลุมพื้นที่แค่ไหน ถ้าดูตามคำพิจารณาของศาลโลกและการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว  ก็จะเห็นว่าประเทศไทยเสียเปรียบ  เพราะไทยเคยปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกที่ให้เอาเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทมาแล้ว การจะอ้างว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทเป็นของไทยเพื่อคัดค้านแผนบริหารจัดการนี้ก็คงจะไม่สำเร็จ

แต่ปัญหาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารได้ลุกลามไปไกลกว่าประเด็นเหล่านี้อีกมาก นั่นคือกำลังมีความเสี่ยงที่ 2 ประเทศจะรบกันหรือปะทะกันด้วยกำลังเพราะเรื่องนี้ประการหนึ่ง  กับอีกประการหนึ่งคือ ข้อพิพาทในเรื่องนี้กำลังถูกหยิบยกขึ้นสู่การพิจารณาขององค์กรระหว่างประเทศอย่างอาเซียนและสหประชาชาติ

ที่ผ่านมาไทยกับกัมพูชา เช่นเดียวกับประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันอีกจำนวนมาก เคยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนมาเป็นเวลานาน เกิดการปะทะและสู้รบกันมาแล้วก็มี แต่ในที่สุดไทยกับกัมพูชาก็ตกลงที่จะแก้ปัญหาด้วยการตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาปักปันเขตแดน เพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ ด้วยการเจรจาหารือ เพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน โดยประเทศทั้ง 2 เอง

วันนี้กลับมาพูดเรื่องอาจจะต้องรบกัน กับการหาทางออกโดยอาศัยสหประชาชาติเข้ามาช่วย

เราก้าวมาสู่จุดนี้กันได้อย่างไร

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการปลุกกระแสชาตินิยม-คลั่งชาติ ที่หวังประโยชน์ทางการเมืองของพันธมิตรฯ  ที่มีการผสมโรงอย่างแข็งขันโดยพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยคุณอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคเอง

การปลุกกระแสชาตินิยม คลั่งชาติของพันธมิตรนี้เริ่มแรกก็เพื่อใช้เป็นประเด็นในการปลุกระดมคนมาต่อต้านรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช  แต่มาถึงตอนนี้จุดมุ่งหมายหลักดูเหมือนจะเป็นการรักษาและฟื้นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ  กับการสร้างกระแสความนิยมให้เกิดขึ้นแก่พรรคการเมืองที่ชื่อว่า “พรรคการเมืองใหม่”

ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพื่อล้มรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช  และในปัจจุบันก็พยายามยืนยันความคิดท่าทีเดิมแบบคลุมๆเครือๆ  เพื่อดึงความสนับสนุนจากผู้ที่มีความคิดในทางเดียวกันไว้ แต่ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้แล้ว เนื่องจากรู้ดีอยู่ว่าไม่สามารถทำอะไรสุดโต่งอย่างที่พวกพันธมิตรกำลังเสนอได้

รัฐบาลนี้ไม่ได้อธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่ใช้วิธีทำเป็นขึงขังขู่ว่าไทยอาจลาออกจากการเป็นกรรมการมรดกโลก  หรืออาจถึงขั้นลาออกจากภาคียูเนสโก ซึ่งมีแต่จะแสดงถึงความขาดวุฒิภาวะให้เป็นที่อับอายไปทั่ว

สิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ทำได้มากที่สุดขณะนี้คือการยืดเวลาออกไป  กับการโยนความผิดทั้งหมดไปให้รัฐบาลคุณสมัคร โดยเฉพาะที่คุณนพดล ปัทมะ

ทั้งๆที่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณนพดล  ปัทมะ พยายามทำไปนั้นคือ การกันเรื่องพื้นที่พิพาทออกจากการจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร  เพื่อป้องกันมิให้ไทยต้องเสียดินแดนส่วนนี้ไปอย่างเป็นทางการเสียเปล่าๆ

แต่รัฐบาลกลับสรุปง่ายๆว่าหากจะมีความผิดพลาดอะไร ก็อยู่ที่แถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชากับไทยที่คุณนพดลไปลงนามไว้  ทั้งๆที่แถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารก็ดี  หรือการจัดทำแผนบริหารจัดการก็ดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแถลงการณ์ฉบับนั้นเลย

พันธมิตรและผู้สนับสนุนมีความเห็นโดยสรุปคือ การแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นให้ใช้เส้นสันปันน้ำตลอดแนว ซึ่งหมายความว่าตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบปราสาท  รวมทั้งพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นล้วนเป็นของไทย

พันธมิตรและผู้สนับสนุนเห็นว่าคำพิพากษาศาลโลกมีผลต่อตัวปราสาทเท่านั้น ไม่มีผลต่อพื้นที่โดยรอบปราสาท ซึ่งพวกเขาเห็นว่ายังเป็นของไทย ในส่วนคำพิพากษาของศาลโลก พวกเขาก็ยืนยันว่าประเทศไทยยังคงสงวนสิทธิที่จะคัดค้านคำพิพากษานี้อยู่ โดยความหมายแล้วก็คือ “พวกเขา” ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดก็คงเป็นหลายส่วน  ยังเห็นว่าแม้ตัวปราสาทเองก็ยังเป็นของไทยอยู่

พันธมิตรและผู้สนับสนุนประกาศจุดยืนชัดเจนคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการจัดทำแผนบริหารจัดการ  พวกเขายังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกบันทึกข้อตกลงหรือ MOU ปี2543 เสีย  พร้อมๆกับเสนอให้รับบาลไทยใช้กำลังทหารขับไล่ชาวกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรออกไป  พร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวด้วย

โดยสรุปก็คือ  ให้ยกเลิกการแก้ปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนโดยการเจรจาหารือ  แล้วให้หันมาใช้กำลังทหารเข้าจัดการนั่นเอง

สำหรับนายกฯอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์นั้น เห็นว่าศาลโลกพิพากษาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ประเทศไทยยังสงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้านอยู่ ยังไม่เคยยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก

คุณอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในสภาขณะเป็นผู้นำฝ่ายค้านว่า เราใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนยกเว้น “ตัวปราสาท”   ซึ่งก็ได้มี ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์บางคน ได้ช่วยขยายความเพิ่มเติมว่า พวกเขาเห็นว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา นอกจากนั้นอย่าว่าแต่พื้นที่รอบๆปราสาทเลย แม้แต่พื้นที่ใต้ปราสาทก็เป็นของไทยทั้งสิ้น

เมื่อคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯแล้วได้ยืนยันความเห็นนี้ในโอกาสต่างๆรวมทั้งในการอภิปราย หรือชี้แจงร่วมกับพันธมิตรเมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณอภิสิทธิ์ก็ยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า สิ่งที่เขาพูดไว้ในขณะเป็นผู้นำฝ่ายค้านนั้น ถึงวันนี้ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม

ไม่มีใครไปถามย้ำว่าหมายถึงคุณอภิสิทธิ์ยังคงเห็นว่า พื้นที่ใต้ปราสาทเป็นของไทยใช่หรือไม่

แต่ถึงแม้คุณอภิสิทธิ์จะไม่พูดเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจน ใครที่ติดตามการใช้ตรรกะ เหตุผลของคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์เองยังคงยืนยันว่าพื้นที่ใต้ปราสาทพระวิหารเป็นของไทยด้วย

โดยรวมๆแล้ว นายกฯอภิสิทธิ์กับพันธมิตรมีความเห็นต่อกรณีปราสาทพระวิหารใกล้เคียงกันมาก จุดต่างที่สำคัญตอนนี้ก็คือ  ในขณะที่พันธมิตรเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ปี 2543 แต่นายกฯอภิสิทธิ์กลับเห็นว่า MOU ปี 2543 นี้เป็นประโยชน์และควรคงไว้ต่อไป

การใช้เวลาทางทีวี 3 ชั่วโมงของรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรเพื่ออภิปราย  หรือควรจะใช้คำว่าร่วมกันชี้แจงกรณีปราสาทพระวิหารนั้น ทำให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็น จุดยืนที่ใกล้เคียงกัน ประเด็นที่ยังแตกต่างกันมากก็คือ การยกเลิก MOU ปี 2543

เมื่อรัฐบาลไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิก MOU ปี 2543 เช่นนี้แล้วพันธมิตรจะชุมนุมกดดันรัฐบาลอีกหรือไม่ หรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็ไม่มีใครทราบ เข้าใจว่าอย่างน้อยในระหว่างที่ยังมีการหาเสียงเลือกตั้งสก. สข.กันอยู่ พันธมิตรคงไม่หยุดการเคลื่อนไหวไปง่ายๆ  เพราะการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ดูจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งพันธมิตรเองและต่อการหาเสียงของพรรคการเมืองใหม่อยู่ไม่น้อยทีเดียว

แต่ความต่างระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับความเหมือนกัน หรือสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงกัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นสาเหตุทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ โดยไม่เป็นประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศไทยแต่อย่างใดเลย

ถ้าจะทำความเข้าใจว่าเราจะเอาอย่างไรกันดีกับกรณีปราสาทพระวิหารและเรื่องที่เกี่ยวข้อง   ซึ่งจะต้องศึกษาประวัติความเป็นมาและรายละเอียดข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น เราอาจต้องตั้งคำถามใหญ่ๆ มากๆ เสียก่อนว่า ประเทศไทยเราจะอยู่ในโลกนี้อย่างไร เราจะอยู่อย่างไรในเอเชีย จะเอาอย่างไรกับอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้าน  และกัมพูชา

ในยุคปัจจุบันการเป็นมิตรกับประเทศต่างๆ  อยู่ร่วมในกระบวนการโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การคบหาสมาคมกับมิตรประเทศ สร้างสรรค์พัฒนาร่วมกันในเวทีโลก  เป็นสิ่งสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง

ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของโลก เอเชียกำลังเป็นจุดที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะกำลังมีศักยภาพในการฟื้นตัว กระทั่งเป็นกำลังสำคัญในการฉุดให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย   ประเทศไทยเคยมีบทบาทริเริ่มหลายๆอย่างในเอเชีย  จนเป็นที่ยอมรับและทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศต่างๆในเอเชียมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะลดบทบาท  หรือทำลายศักยภาพของตนเองในการเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียที่กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทุกที

ที่ผ่านมาประเทศต่างๆในอาเซียนพยายามผลักดันให้มีการกระชับความสัมพันธ์ภายในอาเซียนให้แน่นแฟ้นขึ้น และไทยก็เคยถูกมองว่าจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการพัฒนาอาเซียนให้ก้าวหน้าไป  อาจต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าอาเซียนจะพัฒนาไปถึงจุดที่คล้ายหรือใกล้เคียงกับยุโรป  แต่ความคิดที่ต้องการขับเคลื่อนอาเซียนไปในทิศทางนั้นก็นับว่าเป็นความคิดที่ก้าวหน้า เป็นประโยชน์ต่อประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้

ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน คงต้องเริ่มจากความคิดพื้นฐานง่ายๆว่า การเป็นมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้การอยู่ใกล้กันหรือติดกัน เมื่อประเทศหนึ่งมีปัญหา  ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศข้างเคียง การช่วยเหลือซึ่งกันและกันยิ่งมีความจำเป็น
 
การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน จริงๆแล้วก็คือการช่วยเหลือตัวเราด้วยนั่นเอง

สิ่งที่ควรทำก็คือจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านให้แน่น เพิ่มบทบาทการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาเซียน มีบทบาทในเอเชียร่วมกับประเทศอื่นๆ  เพื่อยืนอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ร่วมในกระบวนการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ประเทศต่างๆ  โดยหลีกเลี่ยงและพยายามลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการโลกาภิวัตน์

เมื่อมามองปัญหากรณีปราสาทพระวิหาร เราก็ควรเริ่มจากวิสัยทัศน์พื้นฐานอย่างนี้ อะไรที่เป็นการสวนทางกับวิสัยทัศน์อย่างนี้จึงไม่ควรทำ และต้องหาทางระงับยับยั้งเสีย

กรณีปราสาทเขาพระวิหาร (2)

เมื่อสัปดาห์ก่อน  ตอนที่มีข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาอาจจะนำเรื่องพิพาทกรณีปราสาทพระวิหารเสนอไปยังอาเซียนและสหประชาชาติ  รัฐบาลไทยนำโดยนายกฯอภิสิทธิ์ได้แสดงความเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแก่สหประชาชาติ  แต่มาสัปดาห์นี้ท่าทีของนายกฯอภิสิทธิ์และรัฐบาลดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือบอกว่าไม่ต้องการให้เรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาหารือที่มีประเทศที่ 3  หรือองค์กรระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย แต่ต้องการให้เป็นทางออกโดย 2 ประเทศคู่กรณี  คือไทยและกัมพูชาเท่านั้น

มีเสียงประสานจากนายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  ผู้ที่เคยทำงานเรื่องนี้มานาน  บ่นเสียดายที่รัฐบาลมีมติบอกเลิกบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับพื้นที่ในอ่าวไทย  และยืนยันประโยชน์ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าว  รวมทั้งบันทึกข้อตกลงปี 2543  พร้อมกับการอธิบายว่ากว่า 2 ประเทศจะมาถึงจุดที่สามารถมีบันทึกข้อตกลงร่วมว่าจะหาทางออกด้วยการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศได้นั้นต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี และต้องผ่านการพิพาท ขัดแย้ง  หรือแม้กระทั่งปะทะกันด้วยกำลังอาวุธมาแล้ว  ท่านยังได้ย้ำว่าทางออกสำหรับกรณีปราสาทพระวิหารและกรณีขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาก็คือการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงที่มีอยู่แล้วนี้เอง

ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อเสนอจากบางฝ่ายให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลงปี 2543 บ้าง ให้ใช้มาตรการเชิงรุกบ้าง หรือกระทั่งให้ใช้กำลังผลักดันประชาชนและอาคารทรัพย์สินต่างๆของกัมพูชาออกไปจากพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเสีย 

ที่เลยเถิดไปกว่านั้นคือ  ถึงขั้นเสนอให้ทวงปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทยเลยก็มี   พร้อมกันนั้นก็มีข่าวการเตรียมพร้อมบ้าง เพิ่มกำลังหรือถอนกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือของทั้ง 2 ฝ่ายให้ได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นประจำ มีการพูดถึงความเสี่ยงที่ 2 ประเทศจะปะทะกันด้วยกำลังอาวุธบ่อยขึ้น ในขณะที่การปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดคุณประสงค์ สุ่นศิริ ก็ได้เสนอให้ทหารไทยกระชับพื้นที่  ผลักดันคนกัมพูชาออกไปจากพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งของรัฐบาลไทย

ถ้าหากมีการปะทะกันด้วยกำลังทหารจะมีผลดีหรือไม่ดีกับไทยอย่างไร

ถ้ามีการนำเรื่องปราสาทพระวิหารเข้าสู่การพิจารณาของอาเซียนหรือสหประชาชาติจะมีผลดีหรือไม่มีกับไทยอย่างไร

สองเรื่องนี้สัมพันธ์กันเสียด้วย คือถ้ามีการสู้รบกันเกิดขึ้น  โอกาสที่เรื่องนี้จะไปสู่การพิจารณาของที่ประชุมใดที่ประชุมหนึ่งของสหประชาชาติก็จะมีสูงขึ้นทันที

ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายไปถึงขั้นนั้น  ผู้ที่จะเสียเปรียบอย่างมากก็คือ  ประเทศไทย

ต้องย้ำว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยคือการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้วเป็นพื้นฐานในการเจรจา

การที่รัฐบาลไทยมีมติให้ยกเลิกข้อตกลงว่าด้วยการแบ่งพื้นที่ในอ่าวไทย  หรือความคิดที่มีการเสนอให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลงปี 2543  ล้วนเป็นความคิดที่มีแต่จะนำความเสียหายมาสู่ประเทศไทยทั้งสิ้น

หากมีการนำเรื่องปราสาทพระวิหารและพื้นที่พิพาท รวมทั้งเรื่องเขตแดน เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาเซียนหรือสหประชาชาติ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ไทยจะสูญเสียดินแดนอย่างเป็นทางการ  ทั้งบริเวณปราสาทและพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร 

ดีไม่ดี ถ้ามีการยกเรื่องเขตแดนขึ้นมาพิจารณา  ไทยเราอาจเสียดินแดนมากกว่านั้นอีกด้วยก็ได้

ทั้งนายกฯอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์  และพันธมิตร พยายามจะทำให้คนเข้าใจเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่มีคำพิพากษาของศาลโลกให้ตกเป็นของกัมพูชา  ซึ่งในข้อนี้นายกฯอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในสภาฯไว้ว่า รัฐบาลไทยยังสงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้านเรื่องนี้  ไม่เคยสละสิทธิ์นี้ไป

พวกเขายังไปไกลกว่านี้ถึงขั้นแสดงความเห็นให้คนเข้าใจว่าตัวปราสาทเท่านั้นที่ตกเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ใต้ปราสาทยังเป็นของไทย  เหมือนปราสาทพระวิหารจู่ๆก็ลอยมาตกในเขตแดนของไทย

แต่ถ้าเราพิจารณาเรื่องนี้โดยไม่บิดเบือน หรือไม่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ข้อเท็จจริง เราก็จะพบว่าศาลโลกได้พิพากษาไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 แล้วว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และยังมีมติด้วยว่าให้ฝ่ายไทยถอนกำลังและผู้ดูแลออกจากปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชาด้วย
   
ที่นายกฯอภิสิทธิ์  พรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตร พยายามอธิบายว่าเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบตัวปราสาทหรือแม้แต่พื้นที่ใต้ปราสาทเอง ล้วนเป็นของไทย   จึงเป็นการจงใจแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ข้อเท็จจริงเพื่อหวังที่จะปลุกความคิดชาตินิยมแบบคลั่งชาติขึ้นมา โดยไม่คำนึงว่าจะเกิดผลเสียหายตามมามากน้อยเพียงใด
   
สำหรับปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร  และเส้นเขตแดนระหว่างประเทศอยู่ตรงไหนกันแน่นั้น หากพิจารณาคำพิพากษาของศาลโลกก็จะพบว่า แม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ชี้ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร แต่ศาลโลกก็ได้มีคำพิจารณาชี้ขาดไว้ว่า เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในเขตพิพาทในบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นเขตที่ลากไว้บนแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ที่เรียกกันว่าภาคผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
   
ไม่ใช่เส้นสันปันน้ำที่ฝ่ายไทยยกขึ้นต่อสู้ในสมัยนั้น หรือที่พยายามยกมาอ้างกันในขณะนี้

คำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ได้มีผลไปแล้ว คือการที่รัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น โดยได้ถอนกำลังทหารออกจากปราสาทประวิหารและบริเวณใกล้เคียงมาแล้ว แม้ต่อมาจนถึงปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงทางวิชาการ ไม่เป็นที่ยุติว่าคำพิพากษาของศาลโลก ได้รับรองแผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ และมีสถานะทางกฎหมายเพียงใดแน่ก็ตาม แต่ถ้าเรื่องนี้มีการนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมองค์การระหว่างประเทศเมื่อไร ประเทศไทยย่อมเสียเปรียบกัมพูชาอย่างแน่นอน
   
การพิจารณาขององค์การระหว่างประเทศใดๆก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นการย้อนไปดูคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505 ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะสามารถแก้คำพิพากษาเสียใหม่ว่า ปราสาทพระวิหารไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาแต่อยู่ในเขตไทย 

ปัญหาที่จะต้องมีการพิจารณาต่อไปก็คือ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใครและเส้นเขตแดนที่ถูกอยู่ตรงไหน การจะตอบคำถามนี้ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถามต่อไปว่า การที่ศาลโลกพิจารณาว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชานั้น ศาลโลกใช้เส้นใดเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คำตอบที่ปรากฏในคำพิพากษาก็คือ  เส้นเขตแดนที่ปรากฏใน ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชานำมาอ้าง
   
ในการพิจารณาของศาลโลกในครั้งนั้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ร้องให้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน  แต่ร้องว่าปราสาทอยู่ในเขตแดนของใคร   ศาลจึงไม่ได้ตัดสินเรื่องของเขตแดนโดยตรง  แต่ในการจะต้องตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนของใคร   ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาว่าศาลไม่ถือเอาเส้นสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน   แต่ถือเอาเส้นเขตแดนตามที่กัมพูชาเสนอ

ถ้ามีการตัดสินอย่างเป็นทางการว่า นั่นเป็นเส้นเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศเมื่อใด ก็หมายความว่าไทยเราจะเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรอย่างเป็นทางการทันที  

ผู้ที่ได้โต้แย้งไม่ยอมรับเรื่องนี้ เช่น พวกพันธมิตรก็จะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องยอมรับความเห็นของที่ประชุมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นของใคร รวมทั้งสหประชาชาติด้วย พร้อมกับอาจจะเสนอให้ฝ่ายไทยใช้กำลังทหารเข้าผลักดันประชาชนและทรัพย์สินของชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเสีย  เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าว  พวกนั้นบางคนก็ไปไกลถึงขั้นอาจเสนอให้ฝ่ายไทยยึดปราสาทพระวิหารมาเป็นของไทยเสียเลยด้วย

หากมีการใช้กำลังทหารเข้าจัดการแก้ปัญหา ก็จะยิ่งเป็นเหตุผลให้นานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก เรียกว่ามีแต่เสียกับเสียสำหรับฝ่ายไทย

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ  หันกลับมาใช้การเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงที่เคยมีมาแล้วเป็นพื้นฐานเงื่อนไขในการเจรจา หลีกเลี่ยงการที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมหารือในที่ประชุมองค์กรระหว่างประเทศใดๆ  เพื่อจะให้การหาทางออกในเรื่องนี้เป็นไปได้  และยังเกิดผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศ 

ทั้งรัฐบาลไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรจะต้องหยุดความพยายามที่จะปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติ  หยุดการบิดเบือนข้อเท็จจริงและการเคลื่อนไหวใดๆที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน  โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศอย่างที่ทำมาตลอดเสียที

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net