แดงเชียงใหม่ออกแถลงการณ์ "วันสองมาตรฐานแห่งชาติ"

"นปช.แดงเชียงใหม่" ชุมนุมศาลากลาง พร้อมออกแถลงการณ์ "วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ" อ้างพันธมิตรฯ บุกยึดเอ็นบีทีและทำเนียบรัฐบาลคดีไม่คืบ ส่วนเสื้อแดงแกนนำถูกจับ

วันนี้ (26 ส.ค.) คนเสื้อแดงกลุ่ม "นปช. แดงเชียงใหม่" เดินทางไปชุมนุมที่ศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมออกแถลงการณ์ “วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ ” โดยระบุว่า เมื่อ 26 ส.ค. ปี 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้บุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่ง แต่การดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่มีความคืบหน้า ถูกปกปิด รวมถึงกรณีวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปชุมนุมที่หน้ากองทัพภาค 1 กดดันให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาตลอดแนวชายแดนไทยและเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็ม โอยู 43 ทั้งที่รัฐบาลยังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอยู่

ต่างจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และแยกราชประสงค์ที่ต่อมามีการจับกุมดำเนินคดีแกนนำ โดยแถลงการณ์ระบุว่า จึงเห็นว่าเป็นพฤติกรรมเลือกข้าง มีอคติ และรับใช้ทางการเมืองมากกว่าการดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทางกลุ่มนปช. แดงเชียงใหม่จึงถือว่าวันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ โดยผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันหน้าศาลากลางระยะหนึ่งจึงเดินทางกลับ สำหรับรายละเอียดแถลงการณ์มีดังแนบ

 

000

แถลงการณ์
ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่
“วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ”

วันที่ 26 ส.ค. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในวันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว วันที่ 26 ส.ค. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้บุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่ง สร้างความเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้ ความเสียหายที่ร้ายแรงเหล่านี้ นำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรง จนนำมาสู่ปัญหาสองมาตรฐานของสังคมไทย และเป็นเหตุนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดง จนในที่สุดจบที่โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ ที่สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 19 พ.ค. 2553

จนถึงทุกวันนี้การดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีความคืบหน้า แต่กลับถูกปกปิด ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ และยังมีการเตะถ่วงคดีต่างๆ โดยการโอนเข้าไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่เห็นแล้วว่ามีพฤติกรรมเลือกข้าง มีอคติ และรับใช้ทางการเมืองมากกว่าการดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม บรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังแสดงบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรฯไปชุมนุมหน้ากองทัพภาค 1 กดดันให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาตลอดแนวชายแดนไทยและเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ทั้งที่รัฐบาลยังประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอยู่

แตกต่างจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ ที่ต่อมามีการจับกุมดำเนินคดีแกนนำ นปช. 25 คน และไล่จับแกนนำอื่นๆกว่า 400 คน ทั้งที่หลายคนเป็นความผิดเล็กน้อย เช่น ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลสั่งลงโทษสถานหนักให้จำคุกทันที ส่วนความผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ ในข้อหาพยายามฆ่าตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ ศาลลงโทษสถานเบารอลงอาญา ถือว่าสองมาตรฐาน กลายเป็นความอัปยศในแผ่นดินไทย นำมาซึ่งความรุนแรงในสังคมไทยและสร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนคนไทย ทั่วทั้งประเทศ

ดังนั้นจึงถือได้ว่า “ วันที่ 26 ส.ค. เป็นวันสองมาตรฐานแห่งชาติ ” เพราะเป็นวันแห่งต้นกำเนิดความขัดแย้งของสังคมไทย จนนำมาสู่ความยุติธรรมอำมหิตในสังคมไทยตอนนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้ประกาศจะสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การกระทำที่ผ่านมานอกจากโวหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ การกระทำและสั่งการบางเรื่องยังขัดกับคำพูด อย่างเช่นการไล่ล่าจับกุมแกนนำ นปช. แต่กลับไปขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรในการชุมนุมที่ขัดกับ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งก็คือการไปเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั่นเอง

เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่แท้จริง ต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์อย่างแท้จริง จะต้องใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสนับสนุนสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ขจัดการใช้กฎหมายอย่างสองมาตรฐานให้หมดไปจากสังคมไทย นำผู้กระทำความผิดทุกคนเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและพิพากษาอย่างยุติธรรมเท่า เทียมกัน ไม่ใช้อารมณ์แค้นเคืองส่วนตัวตั้งข้อหาต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยุติธรรม หากจะปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรที่กระทำความผิดมีโอกาสต่อสู้ข้อกล่าวหาอยู่ภาย นอกที่กุม​ขัง ก็ต้องให้โอกาสต่อกลุ่ม นปช.โดยปล่อยตัวออกไปต่อสู่ข้างนอก และหากยังจะกุมขังกลุ่ม นปช.อยู่ในคุกตะราง ก็ต้องเร่งดำเนินการกับคดีของกลุ่มพันธมิตรให้พวกเขาไปต่อสู้กับข้อกล่าวหา อยู่ในคุก​ตะรางเฉกเช่นกัน

การจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความรุ่งเรืองสงบสุข เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีโดยตรง การสร้างความยุติธรรมที่เท่าเทียมจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองสงบสุขนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นเพื่อประชาชนทุกหมู่เหล่า หากจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกลุ่มพันธมิตรเท่านั้น ประชาชนคนไทยเรา ขอให้ท่านลาออกไปจากตำแหน่งที่ทรงคุณค่า ที่ต้องมีวุฒิภาวะ มีคุณธรรมนี้ อย่าได้สร้างเวรสร้างกรรมให้ประชาชนและประเทศชาติต่อไปอีกเลย

ชาวเชียงใหม่ผู้รักความเป็นธรรม และรักประชาธิปไตย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท