หลวงพ่อปัญญา เจ้าอาวาสวัดเวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ที่ปรึกษาชมรมสงฆ์ไทใหญ่ในประเทศไทย และเป็นพระมีพรรษามากสุดของไทใหญ่ในไทย มรณภาพด้วยโรคชรา ด้านสมาคมของรัฐบาลทหารพม่าท่าขี้เหล็ก - เชียงตุง ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลผู้สูงอายุ จี้ถ่ายรูปร่วมเป็นสมาชิก

"หลวงพ่อปัญญา" พระที่ปรึกษาสงฆ์ไทใหญ่ในไทยมรณภาพ

มีรายงานว่า เมื่อเวลา 22.30 น. ของวันที่ 29 ส.ค. 53 ที่ผ่านมา หลวงพ่อปัญญา ปญฺญาวโร เจ้าอาวาสวัดเวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระมีพรรษามากสุดของไทใหญ่ในไทย และเป็นที่ปรึกษาชมรมสงฆ์ไทใหญ่ในประเทศไทย ได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคชราที่วัดเวียงแหง ขณะมีอายุได้ 82 ปี รวมพรรษา 61 พรรษา

ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อปัญญา มีอาการป่วยหนักจากโรคชรา ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล นครพิงค์เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 16-25 ส.ค. แต่อาการไม่ดีขึ้น ทางคณะลูกศิษย์จึงขอตัวกลับไปพักรักษาต่อที่วัด กระทั่งในค่ำคืนของวันที่ 29 ส.ค. หลวงพ่อปัญญาได้มรณะภาพลงอย่างสงบ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกศิษย์และศรัทธาที่เคารพนับถือ

หลวงพ่อปัญญา เกิดที่บ้านน้ำเหม็น ต.บ้านแห้ง เมืองลายค่า รัฐฉานตอนใต้ เป็นบุตรของนายคำ นางเฮือน มีพี่น้อง 4 คน เป็นคนสุดท้อง บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 10 ขวบ ที่วัดบ้านแห้ง ของเมืองลายค่า และหลังจากมีอายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเดียวกัน

หลวงพ่อปัญญาเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อปี 2507 หลังอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ 2 ปี โดยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ต่อมาในปี 2509 ได้ย้ายไปอยู่วัดเวียงแหง และหลังจากเจ้าอาวาสวัดเวียงแหงลาสิกขา หลวงพ่อปัญญาได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นเจ้าอาวาสเรื่อยมากระทั่งมรณภาพรวมระยะเวลา 42 ปี ซึ่งตลอดช่วงชีวิตในเพศบรรพชิต หลวงพ่อปัญญาไม่เคยลาสิกขาเลย

ขณะนี้ศพของหลวงพ่อปัญญา ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดเวียงแหง ซึ่งทางคณะสงฆ์อำเภอเวียงแหง มีกำหนดตั้งบำเพ็ญสวดพระอภิธรรมไปจนถึงวันที่ 5 ก.ย. จากนั้นจะทำพิธีปิดศพเก็บไว้ภายในซุ้มวัดจำลอง หรือ วัดนิพพาน ตามคำเรียกของชาวไทใหญ่ที่สร้างขึ้นชั่วคราวภายในวัดเวียงแหง ส่วนรายละเอียดกำหนดงานเพลิงศพทางคณะสงฆ์และคณะศรัทธาจะประชุมหารือกันหลังงานพิธีปิดศพแล้วเสร็จ

 

สมาคมพรรคพม่าท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง จี้ชาวบ้านเป็นสมาชิก

มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม เป็นต้นมา ได้มีเจ้าหน้าที่สมาคมสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Association) หรือ USDA ซึ่งเป็นสมาคมภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลพม่า ในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แบ่งทีมออกสำรวจเก็บข้อมูลชาวบ้านตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 50 – 60 ปี ขึ้นไปเพื่อเข้าเป็นสมาชิก

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สมาคมนำข้อมูลผู้สูงอายุจากฐานทะเบียนราชที่ได้จากฝ่ายปกครองส่วนท้องที่ ใช้เป็นข้อมูลออกสำรวจตามหมู่บ้านต่างๆ โดยการสำรวจใช้วิธีเคาะประตูเข้าสอบถามที่ละบ้าน ซึ่งหลังสอบถามบันทึกข้อมูลประวัติแล้วเสร็จทางเจ้าหน้าที่ได้ถ่ายรูปผู้ที่ถูกสอบถามไป โดยอ้างว่าจะนำไปทำบัตรสมาชิกสมาคมแล้วจะส่งให้ภายใน 2-3 วัน

ชาวบ้านคนหนึ่งจากหมู่บ้านปุงถุนกล่าวว่า พบเห็นเจ้าหน้าที่สมาคมเป็นชาย 3 คน หญิง 3 คน ถือป้ายสีน้ำเงินมีข้อความเป็นภาษาพม่าเข้าบ้านหนึ่งแล้วบ้านหนึ่ง สอบถามประวัติผู้อยู่ในบ้านซึ่งส่วนใหญ่เน้นผู้สูงอายุ จากนั้นให้ผู้ถูกสอบถามยืนข้างฝาโดยที่ใช้ผ้าสีน้ำเงินเป็นฉากหลังแล้วถ่ายรูปไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการสอบถามความเห็นชาวบ้านว่าจะยอมรับเป็นสมาชิกสามคมหรือไม่แต่อย่างใด

นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่สมาคม USDA ประจำเมืองเชียงตุง ได้ออกทำการสำรวจเก็บข้อมูลผู้สุงอายุทั่วทุกพื้นที่ มีการบังคับถ่ายรูปและแจกหมายเลขประจำตัวเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมเช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการพูดเป็นนัยข่มขู่ด้วยว่าหากไม่เข้าเป็นสมาชิกจะถูกขึ้นบัญชีเป็นผู้คัดค้านอำนาจรัฐด้วย

สมาคมสหภาพเอกภาพและการพัฒนา หรือ USDA ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่าและมีสำนักงานอยู่ทั่วสหภาพพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคม USDA ได้เปลี่ยนถ่ายไปเป็นพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา Union Solidarity and Development Party – USDP เพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้งในวันที่ 7 พ.ย. โดยพรรคนี้มีพล.อ.เต็งเส่ง อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org