สถานะของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล หากมองจากทัศนะทางชนชั้นในเวลานั้น ย่อมไม่ใช่สถานะที่สูงส่ง ตัวอย่างเช่น พวกวรรณะพราหมณ์ มองว่า “พวกสมณะเป็นวรรณะดำเกิดจากเท้าของพระพรหม” [1] และเมื่อคราวที่พระพุทธองค์กลับมาแสดงธรรมโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทราบว่า พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต ถึงกับไปขอร้องให้หยุดเดินบิณฑบาต เพราะการเป็น “ผู้ขอ” เช่นนั้นทำให้เสื่อมเกียรติศากยวงศ์ เป็นต้น
ฉะนั้น การที่พระพุทธองค์สถาปนาสังคมสงฆ์ให้เป็นสังคมที่ไม่ถือชนชั้น ทุกคนที่มาบวชไม่ว่าจะเป็นทาส กรรมกร มหาเศรษฐี พราหมณ์ หรือ กษัตริย์ ย่อมถือว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีสมบัติเพียงไตรจีวร และอัฐบริขารเสมอภาคกัน มีสิทธิศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์เสมอภาคกัน เมื่อมองจากทัศนะทางชนชั้นของสมัยนั้น สังคมสงฆ์ย่อมไม่ใช่สังคมที่พึงปรารถนามากนัก แต่หากมองว่าเป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ในเชิงศีลธรรมเพื่อความหลุดพ้น ก็ถือว่าเป็นสังคมที่พึงปรารถนา (สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ในด้านดังกล่าว)
การที่สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ถือครองทรัพย์สินเท่าที่จำเป็น มีวิถีชีวิตที่มุ่งความหลุดพ้น และเป็นอิสระจากรัฐ (เนื่องจากพระพุทธองค์ไม่เคยประกาศว่าศาสนาของพระองค์เป็นศาสนาประจำรัฐใดๆ ไม่ได้ใช้คำสอนของพุทธศาสนารับใช้ผู้มีอำนาจรัฐใดๆ และไม่ได้เข้าไปมีบทบาทในฐานะที่เป็น “กลไก” ของรัฐใดๆ) จึงทำให้สังคมสงฆ์ในเวลานั้นเป็น “อิสระจากรัฐ” ซึ่งมีความหมายสำคัญ ว่า 1) สังคมสงฆ์สามารถรักษาความหมายและเจตนารมที่แท้จริงของพุทธธรรมเอาไว้ได้ 2) สังคมสงฆ์ใช้อำนาจพระธรรมวินัยปกครองกันเองได้ 3) สังคมสงฆ์ไม่เป็นกลไกหรือเครื่องมือของรัฐ/ผู้มีอำนาจรัฐ
แต่หลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ที่ชาวพุทธชื่นชมกันว่าเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุดของพุทธศาสนา) มีการหลอมรวมพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ พุทธศาสนาจึงขึ้นต่ออำนาจรัฐอย่างชัดเจน เช่น 1) ในแง่การสอนพุทธธรรม รัฐมีอำนาจกำหนดว่า ควรเน้นการสอนศีลธรรมอะไรบ้างแก่ประชาชน 2) มีการตีความคำสอนของพุทธศาสนารองรับ “สถานะอันศักดิ์สิทธิ์” ของผู้ปกครอง ยกสถานะของผู้ปกครองให้เป็น “จักรพรรดิแห่งจักรวาล” พระเจ้าอโศกเป็น “พลจักรพรรดิ” ครอบครองหนึ่งในสี่ของจักรวาล 3) สังคมสงฆ์ขึ้นต่ออำนาจรัฐ ทำให้ “อำนาจแห่งพระธรรมวินัย” อ่อนแอลง เช่น เมื่อเกิดกรณีสงฆ์แตกแยก พระเจ้าอโศกสั่งให้อำมาตย์ไปจัดการให้เกิด “ความสามัคคีปรองดอง” แต่อำมาตย์เข้าใจราชโองการผิดจึงปฏิบัติผิด ในคัมภีร์ระบุว่า “ตัดศีรษะพระอริยะเจ้าเสียเป็นอันมาก” [2]
แสดงว่าในสมัยที่มีพระอริยะเจ้าอยู่เป็นอันมาก สังคมสงฆ์ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาภายในของตนเองด้วย “อำนาจแห่งพระธรรมวินัย” ได้ แม้แต่ปัญหา “ความสามัคคีปรองดอง” ยังต้องอาศัย “อำนาจรัฐ” จนเกิดอุบัติการณ์ “ตัดศีรษะพระอริยะเจ้าเสียเป็นอันมาก” (หากเป็นสมัยนี้คงต้องมีการร้องเรียนองกรสิทธิมนุษยชนระดับโลก)
แต่การการหลอมรวมพุทธศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐในสยามประเทศ ยิ่งไปไกลว่ายุคพระเจ้าอโศกมาก เพราะเป็นการ “สมประโยชน์ทางการเมือง” ระหว่างชนชั้นศักดินากับพระสงฆ์ ทำให้พระสงฆ์เข้าไปอยู่ในระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบ ดังข้อเขียนของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ว่า
“ศักดินาแบ่งปันที่ดินให้แก่ทางศาสนา แบ่งปันข้าทาสให้แก่วัดวาอาราม ยกย่องพวกนักบวชให้เป็นขุนนางมีลำดับยศ มีเครื่องประดับยศ มีเบี้ยหวัดเงินปีและแม้เงินเดือน...ศาสนามีหน้าที่สั่งสอนให้ผู้คนเคารพยำเกรงกษัตริย์ พวกนักบวชทั้งหลายกลายเป็นครูอาจารย์ที่ให้การศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดา ซึ่งแน่นอนแนวทางการจัดการศึกษาย่อมเป็นไปตามความปรารถนาของศักดินา” [3]
การหลอมรวมพุทธศาสนาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐ ในยุค “รัฐราชาธิปไตย” ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการทำให้ “ศาสนาเป็นการเมือง” อย่างเต็มตัว นั่นคือ พระสงฆ์กลายเป็นบริวารของพระราชา หรือ “ราชาคณะ” ที่พระราชามีอำนาจแต่งตั้งให้มี “สมณศักดิ์” ต่างๆ ซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์อันเป็นเครื่องหมายทางชนชั้นไม่ต่างอะไรกับพวกขุนนางในยุคนั้น ทำให้สถานะของพระสงฆ์มีสถานะสูงทางชนชั้นซึ่งตรงกันข้ามกับสถานะของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล ในสังคมไทยจึงมีคำล้อเลียน “ความเหลวไหล” เช่นนั้นว่า “ยศช้าง ขุนนางพระ”
ที่น่าเศร้าคือ แม้แต่ในปัจจุบันพระสงฆ์ตั้งแต่พระลูกวัดธรรมดาจนกระทั่งพระเถระระดับกรรมการมหาเถรสมาคม ส่วนใหญ่ล้วนมีพื้นเพมาจากคนชั้นล่างของสังคม แต่เมื่อมาอยู่ภายใต้โครงสร้าง “สังคมชนชั้นแบบสงฆ์” ทำให้ท่านเหล่านั้นหลุดจากรากเหง้านของตนเอง เป็นเครื่องมือรับใช้ระบบชนชั้นทางโลก มีการวิ่งเต้นเรื่องสมณศักดิ์ มีรถเบนซ์ประจำตำแหน่ง ฯลฯ เมื่อลืมรากเหง้าก็ไม่เข้าใจทุกข์ของสังคม มองไม่เห็น “ความไม่เป็นธรรม” ที่ชนชั้นล่างประสบ แม้แต่การศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ไม่ได้ให้ความเข้าใจปัญหาความไม่เป็นธรรมของสังคม ฉะนั้น พระสงฆ์หรือแม้แต่คนที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สึกออกมาเป็นฆราวาส แทบจะขาดความเข้าใจ “ทุกขสัจจะ” ของสังคม และขาดจิตสำนึกต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมอย่างแทบจะสิ้นเชิง
พระไพศาล วิสาโล เอง (แม้จะมีพื้นเพมาจากคนชั้นกลางในเมือง) ก็ดูเหมือนจะมองเห็นปัญหาดังกล่าวนี้ เช่น ที่ท่านวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวไว้อย่างละเอียดในงานวิจัยชิ้นสำคัญชื่อ “พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต” และที่วิพากษ์สถาบันสงฆ์ในหลายวาระ เช่น ว่า
“ปัจจุบันระบบต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ ไม่เอื้อให้เกิดพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ระบบการปกครองของคณะสงฆ์ นอกจากจะล้มเหลวในการส่งเสริมพระดีแล้ว ยังทำให้พระสงฆ์พากันสนใจลาภยศสรรเสริญกันมากขึ้น การรวมศูนย์อำนาจคณะสงฆ์ มาอยู่ในมือของมหาเถรสมาคม นอกจากจะทำให้การปกครองเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการวิ่งเต้น ระบบเส้นสาย และการแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ ก็ไม่สามารถทำให้พระภิกษุสงฆ์มีความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลกดีพอ ที่จะสื่อธรรมให้ผู้คนเกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดจนเห็นภัยของบริโภคนิยมหรืออำนาจนิยม และหันมาดำเนินชีวิตตามวิถีพุทธ ยิ่งการศึกษาเพื่อฝึกฝนตนให้มีความสุขภายในพึงพอใจกับชีวิตที่เรียบง่าย และสามารถแก้ทุกข์ให้แก่ตนเองได้ อีกทั้งมีเมตตากรุณาปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก อย่างรู้เท่าทันสังคมสมัยใหม่ด้วยแล้ว แทบจะไม่มีเอาเลย ผลก็คือคณะสงฆ์ปัจจุบันไร้ซึ่งพลังทางปัญญา ศีลธรรม และศาสนธรรม” [4]
จะว่าไปแล้ว พระไพศาล เป็นเพียงพระรูปเดียวในยุคนี้ก็ว่าได้ที่มีผลงาน “เชิงความคิด” ทั้งในแง่จิตวิญญาณ ในแง่สังคม และการเมือง อีกทั้งยังเป็นพระนักกิจกรรมทางสังคม นักสันติวิธี เป็นต้น ที่ว่าผลงานของท่านเป็นผลงานเชิงความคิด ก็เพราะว่า ท่านไม่ได้เน้น “ธรรมะแบบ how to” ซึ่งอยู่ในกระแสนิโยมของตลาดผู้บริโภคธรรมะในทศวรรษนี้ ที่พระดังๆ บางรูปก็ทำตัวเป็น “เซลแมนธรรมะ” เขียนหนังสือหรือบรรยายธรรมตามกระแสตลาด ประเภท “ธรรมาค้าขึ้น” เป็นต้น แต่งานของพระไพศาลเป็นงานเชิงวิพากษ์ เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านใน และการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคม มากว่าที่จะนำเสนอธรรมแบบ “สูตรสำเร็จ” ที่ตอบสนองรสนิยมของปัจเจกบุคคลเท่านั้น ดังที่พระสมัยนี้นิยมทำกัน
แต่ทว่าเมื่อพระไพศาล รับเป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และดูเหมือนท่านจะให้สัมภาษณ์ในเชิงยอมรับ “ความชอบธรรม” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในระดับหนึ่ง คืออย่างน้อยก็เป็นรัฐบาลที่มีที่มาจากการเลือกตั้ง และยังต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริงกรณีสั่งสลายการชุมนุมที่มีคนตาย 91 ศพ ก่อน เป็นต้น ก็ทำให้เกิดคำตามมามาก ไม่เฉพาะจากคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายเจ็บปวดจากความสูญเสีย และเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบวนการพิสูจน์ความจริง และแม้กระทั่งความเป็นธรรมจากกระบวนการปรองดองเท่านั้น ยังมีคำถามอื่นๆ เช่นจากคุณภัควดี คุณคำ ผกา เป็นต้น
คำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือ ถ้าดูจากงานของพระไพศาลที่ผ่านมา ดูเหมือนท่านจะไม่เห็นด้วยกับการที่พระสงฆ์ทำตัวเป็น “เครื่องมือ” สนับสนุนอำนาจรัฐ ฉะนั้น การที่ท่านรับเป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศโดยการแต่งตั้งของรัฐบาล 91 ศพ จะอธิบายได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้เป็น “เครื่องมือ” ของรัฐ (และก็ไม่น่าจะเป็นรัฐที่ดีกว่ารัฐในอดีตที่เคยใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องมือ เช่น ร.6 ให้พระสงฆ์เทศน์สนับสนุนการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้น) เพราะโดยนิตินัยอำนาจรัฐแต่งตั้งท่าน โดยพฤตินัยท่านจะ “เป็นอิสระ” จากอำนาจรัฐที่แต่งตั้งท่านได้มากน้อยเพียงใด
และ “เป็นอิสระ” หมายความว่า “เป็นกลาง” ใช่หรือไม่ ในบริบทความขัดแย้งปัจจุบันนี้มีความเป็นกลางได้หรือ ทั้งเป็นกลางทางการเมือง และเป็นกลางทางศีลธรรม! โดยเฉพาะ “ในทางศีลธรรม” เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมากว่า การรับเป็นกรรมการปฏิรูปฯ ไม่ได้มีความหมายในเชิงรับรอง “ความชอบธรรม” ของรัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องเสียชีวิต (คงไม่ใช่ทุกคนที่เสียชีวิตเป็นผู้ก่อการร้าย?!)
อ้างอิง
[1] ดู อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 11.
[2] ส. ศิวรักษ์ (แปลและเรียบเรียง).ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาร.(กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2552). หน้า 26.
[3] จิตร ภูมิศักดิ์. โฉมหน้าศักดินาไทย.(พิมพ์ครั้งที่ 9).(นนทบุรี: ศรีปัญญา,2550),หน้า 66-67.
[4] พระไพศาล วิสาโล.สร้างสังคมไทยให้เป็นมิตรกับความดี. http://www.thaiss.org/?module=article=detail&id=379 (7/9/2553).
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)