21 ก.ย. 2553 - นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกจดหมายเปิดผนึกถึง ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง "การละเมิดอำนาจศาลโดยการอนุญาตโครงการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสองก่อนดำเนินการ" สืบเนื่องจากการตัดสินคดีของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 ซึ่งมีผลผูกพันจนกว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดออกมาตามการยื่นอุทธรณ์
โดยเนื้อหาในจดหมายของสมาคมระบุว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาพบว่ามีความพยายามให้ข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อหวังผลให้มีการเร่งอนุมัติหรืออนุญาตโครงการต่าง ๆ ที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอยู่อย่างเร่งรีบ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง จึงถือได้ว่ามีเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
จดหมายเปิดผนึก
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓
เรื่อง การละเมิดอำนาจศาลโดยการอนุญาตโครงการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสองก่อนดำเนินการ
เรียน ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ตามที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ ให้ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหมายถึง ฯพณฯ และพวกดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตโครงการหรือกิจรรมที่เข้าข่ายเป็นโครงการรุนแรง ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ความดังทราบแล้วนั้น แม้การประกาศดังกล่าวจะดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการฟ้องร้องเพิกถอนกันต่อไปนั้น แต่เนื่องจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลผูกพันจนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดออกมาตามที่ผู้ฟ้องคดีจักยื่นอุทธรณ์ต่อไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ นั้น
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสมาคมฯ พบว่ามีความพยายามให้ข่าวที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลให้มีการเร่งอนุมัติหรืออนุญาตโครงการต่าง ๆ ที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอยู่อย่างเร่งรีบ จนอาจลืมบริบทของการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและทุกข์เข็ญของชาวบ้านมาบตาพุดและบ้านฉางที่ยังไม่ได้รับการดูแล แก้ไขปัญหาหรือเยียวยาอย่างเหมาะสม เพียงพอเลย
จากการตรวจสอบข้อมูลโครงการทั้ง ๗๖ โครงการในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียงตามฟ้องนั้น พบว่ามีไม่ต่ำกว่า ๑๙ โครงการที่เข้าข่ายเป็นโครงการรุนแรงตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นกลาง ที่มีวัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่มีหรือก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งในกลุ่มต่าง ๆ ตามประกาศดังกล่าว โดยมีหลักฐานยืนยันปรากฏชัดเจนในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหรือสุขภาพที่ผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ เหล่านั้นได้ดำเนินการหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษาหรือสถาบันการศึกษาจัดทำ
ดังนั้น การที่ ฯพณฯ และพวกเร่งรีบการอนุมัติหรืออนุญาตโครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวไปโดยละเมิดคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง จึงถือได้ว่ามีเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ โดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยาย สมาคมฯและชาวบ้านในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย ไม่อาจนิ่งเฉยต่อการกระทำดังกล่าวได้ต่อไป จึงใคร่กราบเรียนมายัง ฯพณฯและพวกให้ทบทวนหรือยุติการดำเนินการใด ๆ ที่นำไปสู่การละเมิดคำพิพากษาดังกล่าวเสีย หาก ฯพณฯ เพิกเฉยต่อจดหมายฉบับนี้ สมาคมฯและชาวบ้านที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพึ่งอำนาจศาลในการแสวงหาข้อยุติเพื่อความยุติธรรมต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
นายศรีสุวรรณ จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน