ทหารพม่าทำร้ายชาวบ้านในเขตย่างกุ้ง

เกิดเหตุทหารพม่าบุกเข้าทำร้ายชาวบ้าน ย่านชานกรุงย่างกุ้ง หลังทหารและวัยรุ่นในพื้นที่เกิดทะเลาะกัน โดยกองทัพพยายามปิดปากไม่ให้ชาวบ้านปูดเรื่องดังกล่าว

ทหารพม่าราว 40 – 50 นาย เข้าบุกค้นและทำร้ายชาวบ้านในหมู่บ้านโตเนเซ พ้าวก์ เมืองเลกู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงย่างกุ้งไป 45 กิโลเมตร มีรายงานว่า ชาวบ้าน 22 ครอบครัวถูกทหารพม่าทำร้ายร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก สาเหตุมาจากการทะเลาะวิวาทระหว่างทหารและวัยรุ่นในพื้นที่ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่เพิ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่กองทัพพม่าพยายามปิดปากชาวบ้านไม่ให้เปิดเผยเรื่องดังกล่าว

สืบเนื่องมาจากที่ทหารพม่ายศร้อยเอกคนหนึ่งชื่อ ซิตลินอ่องได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับนายจ่อลินตู วัยรุ่นในพื้นที่ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป จากนั้นในเย็นวันเดียวกัน นายทหารคนเดิมได้ย้อนกลับมาในหมู่บ้านและได้ถามหานายจ่อลินตู ซึ่งขณะนั้นนายจ่อลินตูได้หลบหนีไปแล้ว นางมอลี วิน ซึ่งเป็นพี่สาวจึงได้ออกไปคุยกับทหารคนดังกล่าวแทน ในเวลาต่อมา ร้อยเอกซิตลินอ่องและนายทหารอีกสองคนได้เรียกให้นางมอลี วินพาไปยังสถานที่เกิดเหตุที่ร้อยเอกซิตลินอ่องและน้อยชายของเธอมีปากเสียงกัน ทันใดนั้นมีรถบรรทุกทหารนำทหารประมาณ 40 – 50 นาย มาถึงยังที่เกิดเหตุ จากนั้นทหารได้วิ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายของนางมอลี วิน 

“พอทหารกระโดดลงจากรถ พวกเขาก็ตรงเข้ามาทำร้ายฉัน ฉันถูกต่อยที่ขมับและแขน ทหารอีกคนหนึ่งได้ใช้ปลายกระบอกปืนตีตรงหน้าอกด้านขวาของฉัน จากนั้นพวกทหารก็วิ่งไปยังบ้านหลังอื่นๆ พวกเขาเข้าตรวจค้นในแต่ละบ้านและทำร้ายร่างกายชาวบ้านคนอื่นๆด้วย” นางมอลี วินกล่าว

ด้านชาวบ้านอีกรายหนึ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อเปิดเผยว่า “ทหารไม่เพียงแต่เข้าบุกค้นในบ้าน พวกเขายังนำตัวชาวบ้านออกมาข้างนอกบ้านและได้ทำร้ายร่างกายชาวบ้านอย่างหนัก มีชาวบ้านราว 22 ครอบครัวที่ถูกทำร้ายในครั้งนี้ พวกทหารเตะและต่อยทุกคน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆ” เขากล่าว 

นางมอลีวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ต่อมาทหารได้ออกมาขอโทษต่อเหตุดังกล่าว และขอให้ชาวบ้านที่ถูกทำร้ายร่างกายอย่าได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องร้อง ขณะที่นางมอลี วินต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากการถูกทำร้ายเอง มีรายงานว่า ทางกองทัพพม่าพยายามที่จะขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านนำเรื่องนี้ไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกลุ่มทหารที่มาก่อเหตุยังบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ห้ามดำเนินการใดๆให้กับชาวบ้านที่มาแจ้งความและร้องเรียน และจนถึงตอนนี้ คดียังไม่คืบหน้า

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ทหารพม่าสังหารวัยรุ่นชายสองคนในเขตพะโคที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากสื่อต่างชาติ ขณะที่สื่อรัฐบาลพม่าเองพยายามลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อกองทัพพม่าโดยการบอกว่า การเสียชีวิตของสองวัยรุ่นในพะโคนั้น เป็นผลมาจากการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่นและนายทหารพม่าที่ต่างอยู่ในอาการเมาด้วยกันทั้งคู่ และเป็นเหตุขัดแย้งส่วนตัวที่พบเห็นได้ทั่วไป 

(DVB 21 ก.ย.53)  

นักเรียนชั้นประถมออกโรงเรียนกลางคันเพิ่มขึ้นในรัฐอาระกัน

ตัวเลขนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ออกโรงเรียนกลางคันในรัฐอาระกัน เพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะในเขตชานเมืองชิตต่วย เมืองหลวงของรัฐ สาเหตุมาจากผู้ปกครองส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ไม่สามารถส่งบุตรหลานเข้าเรียนได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ในพื้นที่

ตามรายงานของท้องถิ่น ในเขต ซัด โรกยา เขตมินดรา ชิตและในเขตอ่อง ชัทตา ซึ่งตั้งอยู่นอกรอบของเมืองชิตต่วย ขณะนี้พบมีนักเรียนออกโรงเรียนกลางคันจำนวนกว่า 300 คนแล้ว ด้านดอว์ โซเมี๊ยะ ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนคนหนึ่งในเขต ซัด โรกยา เปิดเผยว่า เธออยากส่งลูกๆของเธอไปเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล แต่แบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว  “ทุกวันนี้ แค่หาเลี้ยงชีพก็ลำบากแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่องการศึกษาของลูก” ดอว์ โซเมี๊ยะกล่าว

ดอว์ โซเมี๊ยะ เปิดเผยอีกว่า ถึงแม้รัฐบาลพม่าประกาศว่า จะไม่เก็บเงินเพิ่มจากนักเรียนผ่านทางครู แต่กลับพบว่า นักเรียนยังต้องจ่ายค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเรียนพิเศษรวมถึงค่ากิจกรรมอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ไหว ด้านชายคนหนึ่งในพื้นที่เปิดเผยว่า แม้ว่าจะเกิดปัญหานี้ขึ้น แต่ทางรัฐบาลพม่าก็ไม่มีแผนที่จะช่วยให้นักเรียนเหล่านี้กลับเข้ามาเรียนแต่ อย่างใด

ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า นักเรียนที่ไม่สามารถเข้าโรงเรียนของรัฐบาลได้และมีฐานะยากจน ขณะนี้กลับหันมาเข้าเรียนที่วัด ซึ่งเปิดสอนหนังสือให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะวัดซาบู ราตานา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่และได้รับเงินบริจาคจากชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม วัดดังกล่าวกำลังขาดแคลนครูและห้องเรียน ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองชิตต่วยส่วนใหญ่ทำงานในโรงงานปลา และรับจ้างดึงรถลาก โดยมีรายได้อยู่ที่ 20, 000 จั๊ต(ประมาณ 667 บาท)ต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับค่าอาหารเป็นเวลา 1 เดือนต่อคนเท่านั้น มีรายงานเช่นเดียวกันว่า ผู้ปกครองในพื้นที่อื่นๆของรัฐอาระกันเองก็ให้บุตรหลานของตนออกโรงเรียนกลาง คันด้วยเช่นกัน เนื่องจากแบกรับค่าใช้จ่ายที่ทางโรงเรียนเรียกเก็บไม่ไหว ซึ่งตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลพม่าออกมาประกาศว่า ในปีการศึกษานี้มีนักเรียนทั่วประเทศเข้าเรียนมากถึง 98 เปอร์เซ็นต์(Narinjara 20 ก.ย.53)

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบทความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท