รายงาน: ไต่สวนสาธารณะ ปากคำเหยื่อกระสุน เม.ย.- พ.ค.53

 
25 ก.ย.53 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบกรณีสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 หรือ ศปช. ได้จัดงานระดมทุน "เราไม่ทอดทิ้งกัน ความจำ ความรัก ความจริง" เพื่อช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของศูนย์ข้อมูล โดยมีประชาชนซึ่งส่วนใหญ่สวมเสื้อแดงเข้าร่วมจนล้นห้องประชุม
ภายในงานมีการเสวนาในช่วงเช้าและมีคอนเสิร์ตระดมทุนในช่วงค่ำ ส่วนช่วงบ่ายเป็นเวทีไต่สวนสาธารณะจากเหยื่อที่อยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยมีคณะกรรมการได้แต่ กฤตยา อาชวนิจกุล , เกษม เพ็ญภินันท์, สาวตรี สุขศรี, เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว, ไชยยันต์ รัชชกูล มีรายละเอียด ดังนี้
 
ลุงปลาทู และ สันติพงษ์ อินทร์จัน
10 เมษายน 2553
นายสันติพงษ์ อินทร์จัน ถูกกระสุนยางที่เบ้าตา บริเวณสี่แยกคอกวัว ปัจจุบันตาบอด 1 ข้าง
สันติพงษ์เล่าว่าในช่วงบ่ายของวันเกิดเหตุ กำลังนั่งทำกับข้าวที่บ้านเพื่อนำไปแจกประชาชนในที่ชุมนุม พอฟังวิทยุทางอินเตอร์เน็ตรู้ว่าทหารจะเข้ามาขอคืนพื้นที่และผู้ชุมนุมมีจำนวนน้อยเลยอยากไปช่วยกันทั้งบ้าน ถึงอนุเสาวรีย์ประมาณบ่าย 2 โมง เขาจึงแยกกับที่ไปสี่แยกคอกวัวตามที่แกนนำบนเวทีประกาศให้ไปช่วยผลักดันทหาร อยู่ทั่นั่นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่การตั้งแนวของทั้งสองฝั่งซึ่งจะมีรั้วกั้นระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมและมีมีช่องว่างตรงกลาง ผู้ชุมนุมร้องรำทำเพลงกันตามประสา จากนั้นเริ่มมีแก๊สน้ำตาโปรยมาจากเฮลิคอปเตอร์ ทำให้ผู้ชุมนุมวิ่งหาน้ำล้างหน้ากันโกลาหล แล้วจึงกลับมารวมตัวกันใหม่ จนกระทั่งหกโมงเย็นจึงร่วมกันร้องเพลงชาติ นำพระบรมฉายาลักษณ์มาตั้งข้างหน้า พอฟ้าเริ่มมืด ทหารเริ่มเดินเข้ามาแล้วเกิดการปะทะกันขึ้น
คณะกรรมการไต่สวนถามถึงอาวุธของทั้งสองฝ่าย สันติพงษ์กล่าวว่า ทหารข้างหน้ามีโล่กับกระบอง แต่ข้างหลังมีปืน ผู้ชุมนุมมีถุงปลาร้า ขวดน้ำ หิน ผู้ชุมนุมอยู่กับที่แต่ทหารเดินเข้ามาเรื่อย พอเกิดการปะทะผู้ชุมนุมไม่สามารถต้านทหารได้ มีเสียงดังปังๆๆๆ และได้เห็นคนเจ็บทยอยลำเลียงส่งโรงพยาบาลเรื่อยๆ ช่วงจังหวะนั้นก้มลงล้างหน้าเพราะโดนแก๊สน้ำตา จังหวะนั้นนั้นเองจึงโดนกระสุนยางเข้าที่ตา
สำหรับคำถามว่ามีข้อเรียกร้องใดหรือไม่ สันติพงษ์กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองกระทำ ผู้ความจริง และยอมรับความจริง
“ผมไม่เคยเห็น 7 ขั้นตอนจากเบาไปหาหนักของเขา มีแต่เริ่มหนักแล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ”สันติพงษ์กล่าว
 
10 เมษายน 2553
วสันต์ ภู่ทอง ถูกยิงเสียชีวิต ที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยทา
กรณีของวสันต์นั้น กลิ่น เทียนยิ้ม ผู้เป็นพี่เขยเป็นผู้ขึ้นมาให้ปากคำบนเวที โดยเริ่มต้นด้วยการเปิดคลิปเกี่ยวกับเหตุการณ์ 10 เม.ย.ที่ นปช.จัดทำขึ้นเพื่อนำข้อมูลมาโต้แย้งศอฉ.ว่าวสันต์ถูกยิงจากทิศทางของเสื้อแดงด้วยกันเอง โดยโต้แย้งทั้งทิศทางและลักษณะของบาดแผลกระสุนเข้าซึ่งเป็นวิถีที่เข้าจากแนวทหาร อย่างไรก็ตาม นายกลิ่นแสดงความผิดหวังอย่างรุนแรงเนื่องจากเวลาผ่านมาเกือบ 6 เดือนแต่การชันสูตทรและคดีความไม่คืบหน้า หลังเกิดเหตุญาติได้รับเพียงแต่ ใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่าเสียชีวิตด้วยกระสุนความเร็วสูงเท่านั้น จึงขอประณามรัฐบาลและขอเรียกร้องให้สื่อมวลชน นักวิชาการช่วยติดตามผลการชันสูตรศพ เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต เพราะขณะนี้ศพของวสันต์ก็ยังไม่ได้ฌาปนกิจ เนื่องจากหวังจะรอพิสูจน์ความจริง
 
14 พฤษภาคม 2553
นายธงไชย เหงวียน หรือ “ลุงปลาทู” ถูกยิงเข้าที่สะโพกซ้าย-ขวา ที่สวนลุมพินี
ก่อนการไต่สวนมีการเปิดคลิปการรายงานข่าว มีการเปิดคลิปการรายงานข่าวของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งบันทึกภาพลุงปลาทู และนักข่าวชาวแคนาดาขณะถูกยิงในช่วงสายของวันที่ 14 พ.ค. บริเวณริมรั้วสวนลุมพินี

ลุงปลาทูให้การว่าตนเดินทางไปซื้อปลาทูโดยใช้เส้นทางถนนพระราม 4 ตามปกติ แต่วันเกิดเหตุพบว่ามีการปิดถนน ไปถึงได้แค่เพียงบ่อนไก่ และด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขี่มอเตอร์ไซด์วนดู พบว่าบริเวณสน.ลุมพินี มีชาวบ้านและผู้สื่อข่าวมุงดูจำนวนมาก พร้อมกับเสียงกระสุนปืนที่ดังขึ้นเป็นระยะ ท้ายที่สุด นักข่าวแคนาดาและตนเองจึงชวนกันข้ามฝั่งไปหลบบริเวณกำแพงรั้วสวนลุมเพื่อซุ่มมองดูว่ากระสุนมาจากไหน สักพักเสียงปืนดังขึ้นอีกเป็นชุดราว 10 นาที ปรากฏว่านักข่าวคนดังกล่าวร่วงลงไป ตนกำลังจะลุกเข้าไปช่วยก็โดนเข้าที่สะโพก นัดแรกลอดลูกรงมาเข้าข้างขวา  ก่อนจะโดนข้างซ้าย

จากนั้นจึงมีคนวิ่งเข้ามาช่วย ลุงปลาทูให้ช่วยนักข่าวก่อนเพราะโดนยิงที่ท้องน่าจะบาดเจ็บหนักกว่า แล้วจึงมีคนวิ่งเข้ามาหามลุงปลาทูต่อไป
“มีคนเข้ามาหามผม มันเจ็บมาก ผมบอกไม่ไหวแล้ว ลากไปแบบนี้ไม่ไหว บอกให้เขาเอาอะไรมารอง ไม่งั้นไม่ไป นอนนี่ดีกว่า ไม่เจ็บ (ผู้ฟังหัวเราะ) เขาเลยพาโล่ตำรวจมารอง แล้วยกมาสน.ลุมพินี นักข่าวอยู่เยอะ ถ่ายรูปทุกขั้นตอน” ลุงปลาทูเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนถูกนำตัวส่งรพ.กล้วยน้ำไท แพทย์ผ่าตัดสะโพกด้านซ้ายและเอากระสุนให้ดูพบว่าเป็นลูกขนาดเท่านิ้วก้อย เป็นสีตะกั่วและฐานสีทองเหลือง ซึ่งตำรวจพื้นที่ซึ่งมาสอบปากคำที่โรงพยาบาลและเห็นหลักฐานบอกว่าเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่ผลิตจากประเทศจีน
 
15 พฤษภาคม 2553  
ชัยวัฒน์  พุ่มพวง (และอุทร เพื่อนช่างภาพที่ไปด้วยกัน ) ช่างภาพจากสำนักข่าวเนชั่น ถูกยิงบริเวณถนนราชปรารภ
ชัยวัฒน์คือช่างภาพผู้ที่ถูกยิงที่ขา เดินขึ้นมาบนเวทีไต่สวนอย่างกระโผลกกระเผลก ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันและอาศัยการพยุงจากอุทร ชัยวัฒน์เล่าว่าในวันเกิดเหตุทั้งสองใส่เสื้อเกราะที่เขียนว่า PRESS และปลอกแขนสื่อมวลชนชัดเจน ขับมอเตอร์ไซด์เข้ามาในพื้นที่ซอยรางน้ำตั้งแต่ราว 10.30 น. และขับวนออกถนนราชปรารภ ช่วงนั้นเห็นศพผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน ผู้ชุมนุมพยายามจะเอาออกแต่เอาออกไม่ได้ เพราะมีการยิงจากทหารเข้ามาตลอด จนกระทั่งมีการหยุดยิง ทั้งสองเพิ่งมาถึงไม่ทราบว่าเป็นช่วงหยุดยิงก็เดินทางเข้าไป ทำให้ทหารเห็นว่ามีสื่อเข้ามาและไม่ยิง ผู้ชุมนุมจึงสามารถเอาศพผู้เสียชีวิตออกจากพื้นที่ได้ รวม 2 ศพ หนึ่งในนั้นคือ “น้องเฌอ” จนกระทั่งเริ่มมีการยิงอีกครั้งราวบ่าย 2-3 โมง ชัยวัฒน์เล่าว่าเขาถ่ายภาพโดยตลอดอย่างไม่ลดละโดยคิดว่าอย่างไรคงไม่โดนยิง แต่แล้วก็โดนเข้าที่ขา จึงทรุดนั่ง หยุดถ่ายภาพ โทรเรียกเพื่อนที่อยู่จุดใกล้เคียง นั่งรอราว 25-30 นาทีจึงมีทหารเข้ามานำขึ้นรถพยาบาลทหาร ซึ่งภายในชัยวัฒน์ตอบคำถามกรรมการไต่สวนโดยยืนยันว่า มีโลงศพอยู่ 3 โลงภายในรถจริงๆ แต่ไม่ทราบว่ามีศพอยู่ในนั้นหรือไม่ เพราะปิดรถแล้วมืดหมด เมื่อกรรมการถามว่าเห็นผู้ชุมนุมใช้อาวุธตอบโต้กับทหารตรงบริเวณดังกล่าวหรือไม่ ชัยวัฒน์ตอบว่า ไม่เห็นอาวุธ เห็นเพียงแต่บั้งไฟและประทัด
ในส่วนใบรับรองแพทย์นั้นระบุเพียงว่าโดนกระสุนความเร็วสูง และไม่รู้ว่าชนิดไหนเพราะกระสุนระเบิดที่ต้นขาเป็นชิ้นเล็กๆ นอนโรงพยาบาล 10 วัน ไม่มีเจ้าหน้าที่มาสอบปากคำแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม จะมีการฟ้องร้องรัฐบาลเพื่อหาผู้รับผิดชอบและให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง
ด้านอุทร ระบุว่าตึกชีวาทัยนั้นเป็นตึกที่เขาคาดว่ามีหน่วยสไนเปอร์อยู่ และบริเวณดังกล่าวยังมีทหารที่คอยไล่ล่าผู้ชุมนุมอยู่ด้านล่าง เมื่อเกิดเหตุปะทะกันเขาเข้าไปหลบที่ตึกแห่งหนึ่งพร้อมกับกู้ชีพ 3 คน ปรากฏว่ามีทหาร 4 คนเข้ามาสั่งให้กู้ชีพนอนลง เอาปืนจ่อ ค้นตัวและถามว่า คนบาดเจ็บไปไหน เพราะเห็นรอยเลือดเป็นทางมาทางนี้
นอกจากนี้เขายังแสดงภาพของญาติของ “กำปั้น” นักร้องชื่อดัง ที่ถูกยิงเสียชีวิตคาระเบียงคอนโดฯ ย่านรางน้ำ โดยระบุว่า กระสุนเข้าที่กกหูข้างหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าผู้ยิงต้องอยู่บนตึกระดับเดียวกับผู้ตาย ไม่ใช่การยิงจากด้านล่าง นอกจากนี้ยังฉายภาพถ่ายทหารเล็งปืนจริงด้วย
“ผมถ่ายภาพมาทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง แต่วิธีปฏิบัติของรัฐไม่เหมือนกัน ทั่วโลกก็น่าจะรู้ เสื้อเหลืองทหารปฏิบัติอย่างหนึ่ง เสื้อแดงชุมนุมทหารปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ... เสื้อเหลืองโดนสลายด้วยแก๊สน้ำตา มีคนตาย ผบ.ตร.โดนปลด เสื้อแดงโดนยิง ผบ.ทบ.ไม่เป็นไร”อุทรกล่าว
 
18 พฤษภาคม 2553
นิค นอสติทต์ ช่างภาพอิสระ เห็นเหตุการณ์การยิงจนมีผู้เสียชีวิตที่ถนนราชปรารภ (ชาญณรงค์  พลศรีลา)
 ก่อนการไต่สวนมีการเปิดคลิปมุมสูง เหตุการณ์?ผู้ชุมนุม 6-7 คนหลบห่ากระสุนหลังแนวยางรถยนต์หน้าปั๊มเชลล์ ถนนราชปรารภ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังไม่ขาดสาย
นิคเล่าวว่าเขามาถึงถนนราชปรารภประมาณ 11.00 น. ช่วนั้นผู้ชุมนุมเพิ่งเริ่มเข้ามาที่ถนนสายนี้ รวมแล้วไม่น่าเกิน 60 คน ไม่มีอาวุธ  ขณะเกิดเหตุหลายคนที่หลบตรงนั้นพยายามปีนข้ามกำแพงมาหลบ 2-3 คนแรกหนีทัน แต่เขาหนีไม่ทัน ขณะที่ทหารเข้ามาถึงในปั๊มแล้วและตะโกนบอกให้ทุกคนออกมา ชาญณรงค์ได้รับบาดเจ็บโดนยิงเข้าช่วงท้องตั้งแต่ตอนที่เขาหลบอยู่หลังแนวยางรถ เขากระเสือกกระสนดิ้นลงไปในบ่อบัว นิกยอมมอบตัวกับทหารพร้อมบอกว่าเป็นสื่อมวลชน ทหารได้สั่งให้นิคไปดึงชาญณรงค์ขึ้นมาจากน้ำ แต่ดึงคนเดียวไม่ไหวจึงเรียกทหารให้เข้ามาช่วย ทหารด่าว่า “ไอ้เหี้ย ทำไมมึงไม่ตาย มึงตายดีกว่าเจ็บ กูต้องเอามึงไปโรงพยาบาลอีก” นิคบอกว่าเขาพูดอะไรไม่ออกและได้แต่เสนอให้เรียกหมอเพราะชาญณรงค์อาการหนัก ติดอยู่ที่นั่นราว 3 ชั่วโมงครึ่งจึงมีแพทย์ทหารมารับตัวไป
กรรมการไต่สวนถามว่ายืนยันได้ไหมว่าใครเป็นคนยิง นิคกล่าวว่า ชัดเจนว่าช่วงนั้นมีแต่การยิงจากแนวทหารอย่างเดียว เสียงปืนมาจากทางนั้น  
1 เดือนหลังจากนั้นนิคตามหาชาญณรงค์โดยสืบจากบัญชีรายชื่อผู้เสียชีวิตจนกระทั่งพบว่าเขาเป็นหนึ่งในนั้น และนิคยอมเป็นพยานให้การคดีชาญณรงค์กับตำรวจสน.พญาไท เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้เขายังได้รับการติดต่อจากจากคณะกรรมการปรองดองชุด นายคณิต ณ นคร รวมถึงดีเอสไอให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเขายินดีให้ข้อมูลกับทุกฝ่าย
“ผมไม่มีปัญหา ผมเป็นนักข่าวก็แค่ทำหน้าที่ของผม ไม่ได้มีความโกรธ ความแค้นกับใคร ผมเพียงแต่พูดความจริง และยินดีคุยกับทุกคน” นิคกล่าว
 
ระหว่างเสกสิทธิ์เล่าเหตุการณ์ มีผู้ฟังคนหนึ่งลุกขึ้นรวบรวมเงินบริจาจากผู้ร่วมงานในหอประชุมได้กว่า 6,000 บาท มอบให้เขาเพื่อเป็นทุนส่วนหนึ่งสำหรับผ่ากระสุนออก
19 พฤษภาคม 2553
เสกสิทธิ์ ช้างทอง ถูกยิงบริเวณถนนพระราม 4 หน้าพรรคเพื่อไทย  ปัจจุบันตาบอดทั้ง 2 ข้าง
ก่อนการไต่สวนมีการเปิดคลิปบริเวณหน้าพรรคเพื่อไทย ช่วงเวลาประมาณ 10.00-11.00 ทหารประกาศให้คนออกจากหลังรถเมล์ภายใน 3 วินาที ก่อนระดมยิงเข้าใส่ รวมทั้งการกันไม่ให้รถพยาบาลเข้ามาในพื้นที่
เสกสิทธิ์ เป็นหนึ่งในเหยื่อรายแรกที่อยู่บริเวณนั้น เขาถูกจูงขึ้นมาบนเวทีและพิธีกรพยายามเล่าคลิปที่เพิ่งฉายให้คนดูเมื่อครู่ว่าเป็นเหตุการณ์ไหน อย่างไร เนื่องจากเขาไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว  
เสกสิทธิ์เล่าวว่า เขาเป็นคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง อยู่ดูลาดเลาร่วมกับผู้ชุมนุมตั้งแต่ 7.30 น. พบว่าผู้ชุมนุมมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ และตะโกนบอกทหารว่าอย่าทำร้ายคนที่ราชประสงค์  อย่างไรก็ตาม แม้ในคลิปจะพบว่าเจ้าหน้าที่มีการเจรจากับผู้ชุมนุมก่อนยิง แต่ในช่วงที่เขาโดนยิงนั้น เขาจำได้ดีว่ามันไม่มีการกล่าวเตือนหรือบอกกล่าวอะไรเลย เพียงได้ยินเสียงปืนดังรอบทิศทาง และเห็นกิ่งไม้โดนกระสุนจนหักจึงพยายามจะหลบออกจากวิถีกระสุน พอลุกขึ้นกระสุนปืนก็ปะทะ ทำให้ล้มหน้าฟาดพื้น ตอนนั้นลืมตาไม่ขึ้นมืดไปหมด ร้องให้คนมาช่วย
ปัจจุบันกระสุนปืนยังฝังอยู่บริเวณหว่างคิ้วของเขา โดยตัดประสานตาทั้ง 2 ข้าง หมอบอกว่าให้ทำใจแม้ผ่าตัดออกมาก็คงจะเรียกคืนการมองเห็นไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาต้องการความช่วยเหลือในการผ่าตัดเอากระสุนออก เพราะการมีกระสุนค้างอยู่ทำให้เวลาลืมตาแล้วน้ำตาไหลและปวดตา ปวดหัวมาก ต้องหลับตาตลอด นั่งรถยนต์ก็ทรมาน
กรรมการไต่สวนถามว่าประชาชนบริเวณนั้นมีอาวุธหรือไม่ เขาตอบว่า มีแต่มือกับปากและเสียงตะโกนว่าอย่าใช้อาวุธกับประชาชน สำหรับข้อเรียกร้องนั้นขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจริงๆ อย่างที่โฆษณาไว้ เพราะหลายคนรวมทั้งตัวเขาก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ
 
19 พฤษภาคม
พรพิมล พูนผล ผู้ชุมนุมที่อยู่ในวัดปทุม
ก่อนการไต่สวนมีการเปิดคลิปทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และคลิปสัมภาษณ์ผู้อยู่ในเหตุการณ์จากประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลฯ ซึ่งชี้ให้เห็นรอยกระสุนหลายรูบริเวณกำแพงวัดปทุม รวมทั้งกระสุนที่ลงมายังฝากระโปรงรถที่จอดอยู่ซึ่งสะท้อนว่ามาจากมุมสูง
พรพิมล เป็นคนกทม. ร่วมชุมนุมกับ นปช.แบบค้างคืนไม่กลับบ้านตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย วันเกิดเหตุเธอยืนยันว่าประมาณ 6 โมงเย็น เห็นทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเริ่มยิงลงมาด้านล่าง พร้อมตะโกนว่าให้คนที่หลบอยู่ใต้ท้องรถซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าของวัดถัดจากกำแพงวัดเข้าไปออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นจะยิง “ไม่ออกกูยิงมึงแน่” เธอเล่าว่าเห็นชัดเจนกระทั่งใบหน้า และสติ๊กเกอร์สีชมพูที่ติดอยู่บนหมวก เครื่องแบบทหาร 4-5 นายซึ่งถือปืนขู่อยู่บนรางรถไฟฟ้า สุดท้าย ทุกคนที่อยู่ใต้รถก็ออกมายืนที่โล่ง ผู้ชายให้ถอดเสื้อและยกมือขึ้น จากนั้นทหารก็พูดเหมือนจะมาทำประวัติ พอเดินคล้อยหลังไป ทุกคนราว 20 คนก็วิ่งเข้าไปข้างในวัด ไม่นานนักก็พบว่ามีผู้เสียชีวิตที่ผู้ชุมนุมนำมานอนเรียงรายกันถึง 6 ศพ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังตลอดคืนและมีหยุดเป็นพักๆ จนกระทั่งเช้าวันที่ 20 พ.ค.ก็ยังมีเสียงปืนอยู่
 นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมฟังที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ขึ้นมาร่วมการไต่สวน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่วาจะเป็นการถูกยิงที่ลำคอ ขา เท้า ซึ่งทั้งหมดกล่าวว่า ไม่ต้องการเรียกร้องจากรัฐบาลเนื่องจากไม่เหลือความเชื่อถือรัฐบาล
“มองไปเหมือนพวกลิงหลอกเจ้า...ถ้าจะเรียกร้องสิทธิใดๆ ผมจะขอเรียกร้องจากรัฐบาลข้างหน้า” ทศพล ผู้ร่วมงานและได้รับบาดเจ็บถูกยิงเฉี่ยวคอที่แยกศาลาแดงกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท