Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ในสังคมไทยความจริงและการยอมรับสิ่งที่เห็นอยู่โทนโท่ มักถูกปิดทับไว้ใต้นิยายปรัมปราอันหนักอึ้งและการปฏิเสธความจริง

ตัวอย่างล่าสุด: การกลับมาชุมนุมของคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2553 เพื่อระลึกการครบรอบสี่ปีรัฐประหาร และสี่เดือนของการใช้ทหารปราบประชาชน คนเสื้อแดงออกจากพื้นที่ราชประสงค์
การรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักในวันนั้นขาดซึ่งประเด็นสำคัญยิ่งไปหนึ่งประเด็นอันได้แก่ ข้อความเคียดแค้นที่ขีดเขียนโดยคนเสื้อแดงเต็มกำแพงสังกะสีที่กั้นเขตก่อสร้าง ซ่อมแซมตึกเซ็นทรัลเวิลด์และเซ็น ซึ่งคนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เผาเมื่อสี่เดือนที่แล้ว

ก่อนวันอาทิตย์นั้น กำแพงสังกะสีสูงสองเมตร ยาวกว่าประมาณ 70 – 80 เมตร เต็มไปด้วยหลากข้อความโฆษณาชวนเชื่อ ชวนให้คนไทยมารัก ลืมและปรองดองกัน แต่พอพลบค่ำของเย็นวันที่สิบเก้า ข้อความบนกำแพงที่ทางเจ้าของเซ็นทรัลเวิลด์จัดไว้ก็ถูกเขียนทับด้วยข้อความอันเคียดแค้นต่อชนชั้นนำเก่า แบบที่ไม่สามารถนำมาอ้างได้ในที่นี้โดยไม่เสี่ยงผิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ราวหนึ่งทุ่มเศษคืนนั้น คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยจับกลุ่มหลายกลุ่ม ยืนพูดคุยวิจารณ์ข้อความและระบายความโกรธแค้นคับข้องใจทางการเมืองอยู่หน้ากำแพง หากทว่าพอถึงวันรุ่งขึ้น ข้อความเหล่านั้นก็ถูกลบทิ้งไปสิ้น ราวกลับว่า เหตุการณ์คืนก่อนหน้านั้นมิได้เคยเกิดขึ้น กำแพงยังคงอยู่ แต่ข้อความไม่เหลือให้ห็น คงเหลือเพียงกำแพงสังกะสีอันว่างเปล่าสีเทา ถึงแม้เพียงคืนเดียวก่อนหน้านั้น มันจะได้ทำหน้าที่เก็บบันทึกความในใจจากก้นบึ้งของคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง

คนบางคนได้ตัดสินใจว่า ข้อความเหล่านี้ไม่ควรถูกบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยปี 2553 ช่างภาพชาวตะวันตกผู้หนึ่ง ซึ่งพอเข้าใจความหมายของบางข้อความ กล่าวกับผู้เขียนในคืนนั้นว่า เขาไม่แน่ใจว่าจะนำรูปของข้อความบนกำแพงที่ถ่ายไปลงที่ไหนได้บ้าง และไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรดีกับรูปเหล่านั้น
ช่องว่างระหว่างสิ่งที่คนไทยจำนวนมากอยากเชื่อเกี่ยวกับบางเรื่องกับความเป็นจริงที่ว่า คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมีความเชื่อบางอย่างแตกต่างไป ไม่เคยกว้างแตกต่างเท่าทุกวันนี้ เหตุการณ์ 10 เมษา และ 19 พฤษภาคม 53 ซึ่งนำมาซึ่งความตายของ 91 ชีวิต ยิ่งทำให้ช่องว่างนี้กว้างขึ้น เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในหมู่คนเสื้อแดงและวิตกจริตในหมู่ชนชั้นนำเก่า

ช่องว่างระหว่างสิ่งที่พูดและยอมรับในที่ลับ กับสิ่งที่ท่องและปฏิเสธในที่สาธารณะดูจะกว้าง ห่างจากกันมากขึ้นทุกที กลายเป็นราคาค่างวดที่สังคมไทยต้องแบกรับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศยุคทักษิณผู้ซึ่งทิ้งทักษิณไปก่อนเกิดรัฐประหารกล่าวในสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยสยามว่า การโจมตีสถาบันกษัตริย์ได้มีเพิ่มมากขึ้นและเห็นชัดขึ้น แถมเขายังบอกว่า นี่เป็นหนึ่งในสองรากปัญหาวิกฤติสังคมการเมืองไทยปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สุรเกียรติ์ไม่ได้พยายามแม้กระทั่งจะอธิบายว่า ทำไมคนจำนวนไม่น้อยถึงรู้สึกเช่นนั้นต่อสถาบัน

การเขียนข้อความเช่นนั้นจำนวนมากบนกำแพงซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะ ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะที่การลบข้อความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เป็นอาการป่วยของสังคม “เซ็นเซอร์นิยม” แถมคนที่ไม่เอาเสื้อแดงก็มักไม่ยอมที่จะตั้งคำถามว่าทำไมคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยถึงเชื่ออย่างที่เขาเชื่อ

การปฏิเสธไม่ยอมรับฟังความเห็นและความเชื่อของราษฏรจำนวนหนึ่ง จะไม่ช่วยให้ประเทศนี้ผ่าปัญหาทางตันทางการเมือง

รัฐประหาร 19 กันยา เมื่อสี่ปีที่แล้วได้สร้างปัญหาใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงและซับซ้อน เสมือนการเปิดกล่องแพนโดร่าของชาวกรีก และ ณ วันนี้หลัง 91 ศพต้องสังเวยเหตุการณ์ต้นปี ผู้คนควรเริ่มยอมรับความจริงเสียทีว่า คนจำนวนหนึ่งคิดอย่างไร และหันมาถามอย่างจริงจังว่า ทำไมพวกเขาถึงคิดและรู้สึกเช่นนั้น

 

--------------------------------

หมายเหตุ: แปลและเรียบเรียงจาก It’s time to take off the blind fold.
http://www.nationmultimedia.com/home/2010/09/23/politics/It-may-be-time-to-take-off-the-bilindfold-30138569.html ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นสพ.เดอะเนชั่น ฉบับวันที่ 23 ก.ย.53

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net