10 ต.ค.53 นางสุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล ตัวแทนจากกลุ่มอนุรักษ์ฯ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่าผู้ว่า กฟผ. เตรียมจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกพช.ปรับตัวเลขไฟฟ้าสำรองให้สูงขึ้นจากมาตฐาน15%เป็น 20%นั้น เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ในจังหวัดประจวบฯ เห็นว่าเป็นข้อเสนอเนื่องจากกรณีที่กฟผ.ไม่สามารถตอบคำถามสาธารณะได้ว่าทำไมแผนพีดีพี2010 ตลอดอายุ 20ปี ไฟฟ้าสำรองจึงเกินมาตรฐานที่15% อยู่ที่ประมาณ20-40% ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสำรองเกินความจำเป็น และทำให้กฟผ.ต้องหยุดซ่อมโรงไฟฟ้าเพื่อลดตัวเลขการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ แนวทางแก้ไขแทนที่จะลดแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่ม กฟผ.กลับเลือกเสนอให้อนุมัติตัวเลขไฟฟ้าสำรองเพิ่มแทน ทางเครือข่ายจึงได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าเป็นการทำงานแบบไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมและไร้ประสิทภาพ
0000
68/12 ถ.เพชรเกษม อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77130
10 ตุลาคม 2553
เรื่อง คัดค้านการขยายมาตรฐานตัวเลขไฟฟ้าสำรองจาก15%เป็น20%ตามข้อเสนอของผู้ว่ากฟผ.
เรียน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ
สิ่งที่ส่งมาด้วย แผนการปิดซ่อมโรงไฟฟ้าของกฟผ.ในฤดูร้อน
ตามที่ได้มีข่าวว่านายนสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้เตรียมเสนอให้มีการปรับตัวเลขไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยจาก 15%ขึ้นเป็น 20%เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้านั้น
เครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอคัดค้าน ด้วยเหตุผลดังนี้
1.มาตรฐานไฟฟ้าสำรอง 15%เป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้ ในอนาคตหากมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่ม ไฟฟ้าสำรองก็เพิ่มมากขึ้นตามฐานการใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ขึ้นอยู่แล้ว การเพิ่มตัวเลขไฟฟ้าสำรองให้สูงเป็น 20% จึงเกินความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
2.ควรตรวจสอบและสั่งให้กฟผ.เลิกวางแผนหยุดเดินเครื่อง ซ่อมโรงไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน ช่วงเดือนที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี(ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) ซึ่งสะท้อนการบริหารงานแบบไร้กึ๋น ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีความเป็นนักบริหารมืออาชีพ เราสงสัยว่าน่าจะเป็นแผนการทำงานที่ไม่โปร่งใส เตรียมการอ้างเหตุซ้ำเติมไฟฟ้าสำรองลดต่ำในช่วงหน้าร้อนผลักดันการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ที่ไม่จำเป็นต่อระบบไฟฟ้า กฟผ.ควรคิดวางแผนหยุดเดินเครื่องซ่อมโรงไฟฟ้าเฉพาะในฤดูฝน ฤดูหนาวช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำจะเป็นประโยชน์ต่อชาติมากกว่า
3.การลดความเสี่ยงเรื่องการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ ควรต้องทำ เพราะในข้อเท็จจริงประเทศไทยก็ยังต้องพึ่งก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าสูงไปอีกนับ 10ปี และจะใช้ก๊าซเพิ่มปริมาณมากขึ้นด้วย แต่ต้องทำ 2 ลักษณะคือ
3.1 ต้องผลักดันการแก้ไขสัญญาการซื้อก๊าซจากปตท.ให้มีการเสียค่าปรับสำหรับการจัดส่งก๊าซไม่เป็นไปตามสัญญาการจัดซื้อ เพราะปัจจุบันสัญญาการจัดซื้อก๊าซระหว่างกฟผ.กับปตท.เป็นสัญญาที่เสียเปรียบ ปตท.ไม่ต้องเสียค่าปรับหากจัดส่งก๊าซไม่ทัน
3.2ประเทศไทยจำเป็นต้องทำสต๊อกก๊าซธรรมชาติโดยพิจารณาหลุมก๊าซที่กำลังจะหมดอายุในประเทศไทย ทั้งในอ่าวไทยและบนบก เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการจัดส่งก๊าซ
4.แก้ไขกฎหมายที่กำหนดการบวกกำไรให้กฟผ.8%จากเงินลงทุนโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นผลพวงจากการระบบการรับประกันกำไรเพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่นักลงทุนตั้งแต่ยุคพยายามเข็นกฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกฏหมายที่สร้างภาระจ่ายค่าไฟฟ้าแพงให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า และเป็นเหตุที่ทำให้กฟผ.ต้องลงทุนเพิ่มสร้างตัวเลขกำไร มากกว่า ความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง
เราหวังว่าท่านคงเข้าใจและเท่าทันกฟผ. และดำเนินการบริหารงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหนือผลประโยชน์ของกฟผ.เพียงองค์กรเดียว
ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
นส.สุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก
นส.กรอุมา พงษ์น้อย กลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก
นางจินตนา แก้วขาว กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด
นายเสวก พิมสอ เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์บางสะพาน
นายปิยะ เทศแย้ม กลุ่มรักท้องถิ่นกุยบุรี-สามร้อยยอด
นายสมเกียตริ ทอดสนิท กลุ่มอนุรักษ์ห้วยยาง
นายเผชิญ เกตุแก้ว กลุ่มรักบ้านเกิดอ่าวน้อย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)