อยู่เมืองไทยมาตลอดทั้งชีวิต แต่พระเอกหนุ่มเลือดออสเตรเลียน-ลาว 'อนันดา เอเวอริ่งแฮม' เพิ่งจะได้สัญชาติไทยมาไม่นานนี้
.......................................................
หลังจากที่มีบทสัมภาษณ์ของคุณอนันดา เอเวอริ่งแฮม ภายหลังจากได้รับสัญชาติไทย (คลิกเพื่ออ่านบทสัมภาษณ์) และได้มีบทความถ่ายถอดความรู้สึกโดย ดอกหญ้า สาละวิน อดีตคนไร้สัญชาติ (คลิกเพื่ออ่านบทความ) ออกมาแสดงความเห็นต่อคำพูด ความเห็นในบทสัมภาษณ์ นอกจากนี้ในแวดวงของคนทำงานด้านสถานะบุคคลและสิทธิก็ยังเป็นประเด็นที่มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่องในเฟซบุ๊ก
ในฐานะของคนที่ทำงานด้านสถานะบุคคลและสิทธิและทำงานด้านการสื่อสารสาธารณะคนหนึ่งเห็นว่าการแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นยังมีประเด็นที่ชวนพูดคุยต่อดังนี้
สื่อกับอคติทางชาติพันธุ์ ความเป็นอื่นที่ไม่ได้ตั้งใจ (หรือการถูกมองข้าม)
ถ้ามองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ การนำเสนอทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ โฆษณา ในบ้านเรามักจะมีภาพของการนำเสนอภาพลักษณ์ เรื่องราวของของกลุ่มชาติพันธุ์ ออกมาในลักษณะของคนที่มีความแตกต่างจากคนเมือง เช่น การแต่งกาย ที่มักจะมีการดัดแปลง โดยอาจจะทำให้ดูสวยงาม น่าสนใจ สะดุดตา ซึ่งอันนี้ก็พอจะมองอย่างเข้าใจได้ว่าการแสดงเป็นเพียงการสมมติ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็แน่นอนว่ามันได้สื่อสารออกไปสู่คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจถึงแง่มุมที่เป็นจริง ดังนั้นหากไม่ใช่ความตั้งใจที่จะทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดๆ ผู้จัดควรจะใส่ใจสักนิด เช่น มีการระบุข้อความให้ชัดเจนว่าการแต่งกายเป็นลักษณะการดัดแปลง หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็จะดีไม่น้อย
หรือการพูดจา ภาพลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่มักมีการนำเสนอในลักษณะที่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์มักจะพูดจาไม่ชัด พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือออกไปในลักษณะคนด้อยพัฒนา เจตนาที่สื่อเป็นไปเพื่อสร้างความขบขันนั้น ในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่าเจตนาเช่นนี้เป็นแง่มุมที่ควรตำหนิ เพราะนี่คือการตีตราให้คนกลุ่มหนึ่งเป็นอื่น และด้อยกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งควรจะมีการสื่อสารถึงสื่อต่างๆ ที่ยังมีการผลิตสื่อลักษณะนี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ล่าสุดกรณีของคำสัมภาษณ์ของคุณอนันดา จึงเป็นอีกครั้งที่คำพูดที่ว่า... “ก็เลยไม่ได้เป็นกะเหรี่ยงต่อไป” จึงอาจไปกระแทกใจอย่างแรง สำหรับคนที่เป็นชาติพันธุ์ เพราะคุณอนันดานั้นเป็นดาราดัง เป็นบุคคลสาธารณะ มีคนที่คอยติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหว ซึ่งผู้เขียนเองเห็นว่าคุณอนันดาคงไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกเหยียดหยามพี่น้องชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เพราะหากอ่านการให้สัมภาษณ์นี่คือความเข้าใจที่เขาได้รับ (อาจจะมาจากทนายความ) ที่ให้ข้อมูลถึงที่มาของการได้สัญชาติของเขาเปรียบเทียบตัวเขาเป็นเหมือนกะเหรี่ยง ความเข้าใจที่เขาสื่อออกมาก็คือสภาพที่ตกอยู่ในความเป็นคนสัญชาติอื่น ความยุ่งยากในการดำเนินชีวิตที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่ง ณ ตอนนี้เขาพ้นจากสภาพนั้นแล้ว
ในกรณีนี้หากมองแบบไม่ใจร้ายกับคุณอนันดามากนัก ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความเห็นของอาจารย์แหวว (รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ที่ว่าคุณดอกหญ้า (หรือท่านอื่นๆ) น่าจะเขียนจดหมายหรือส่งข้อความถึงสื่อมวลชนรวมทั้งคุณอนันดาให้มีความเข้าใจในรายละเอียดที่ตกหล่นไป และหากเขามีความรับรู้มากขึ้นในอนาคตในฐานะที่เคยยุ่งยากกับการใช้ชีวิตในประเทศไทยแต่ไม่มีสัญชาติไทย ก็คงจะดีไม่น้อยที่คนสาธารณะจะมีส่วนในการเป็นกระบอกเสียงให้คนไร้รัฐไร้สัญชาติ แม้จะเป็นเพียงความคาดหวังก็ตามเพราะการเรียกร้องในประเด็นนี้ก็ดูเหมือนจะมากมายเกินไป
แต่ในครั้งนี้ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตามสิ่งที่คุณอนันดาควรรับรู้คือนี่เป็นอีกครั้งที่ความไม่ตั้งใจ (หรือการถูกมองข้าม) ของคนสาธารณะในบ้านเราได้สร้างบาดแผลลงในใจให้เป็นอื่นอีกครั้งอย่างน้อยก็ในความรู้สึกของใครต่อใครหลายคนที่เป็นชาติพันธุ์ซึ่งเป็นพี่น้องที่อยู่ร่วมกับเราในบ้านเมืองนี้
การได้สัญชาติ...สองมาตรฐาน อยู่ที่ใด (อยู่ที่ใคร)
อีกประเด็นที่ดูเหมือนว่าจะมีการตั้งคำถามต่อการได้มาซึ่งสัญชาติไทยของคุณอนันดา คือการบอกเล่าของคุณอนันดาที่ว่า “แล้วมันง่ายมากด้วยใน 1 อาทิตย์ได้สัญชาติไทยเลย...” นั้น จากประสบการณ์ในด้านสถานะบุคคลมาอย่างน้อยช่วงระยะเวลาหนึ่งหลายปีมานี้ ข้าพเจ้าก็พอจะรับรู้ว่ามีคนอีกนับหมื่นที่ยังประสบปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติ และจำนวนไม่น้อยที่ต้องอยู่ในภาวะเช่นนี้ยาวนานหลายปี หรือกระทั่งไม่มีคำตอบด้วยซ้ำว่าต้องรอคอยอีกนานเท่าใด การได้รับสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว (นับจากไปดำเนินการ) ก็ย่อมสะเทือนความรู้สึกใครหลายคนอีก
แต่หากมองอย่างไม่อคตินักและพิจารณารายละเอียดสักนิด ก็ดูเหมือนว่าคุณอนันดาก็ไม่ต่างจากคนไร้รัฐไร้สัญชาติอีกจำนวนไม่น้อยที่มีสิทธิได้รับสัญชาติไทยแต่ไม่ทราบไม่รับรู้ช่องทาง แต่คุณอนันดาโชคดีตรงที่มีเงินจ้างทนายความ ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่น่าจะเป็นความผิดของเขา หากข้อเท็จจริงคุณอนันดามีคุณสมบัติตามมาตรา 23 มีเอกสารครบถ้วน ไปดำเนินการในเขตท้องที่ที่มีผู้ประสบปัญหาจำนวนน้อยก็ไม่แปลกหากจะได้รับการดำเนินการโดยรวดเร็ว
จากข้อเท็จจริงที่สื่อสารเพียงน้อยนิดผ่านสื่อในประเด็นนี้ การตั้งคำถามในเชิงต่อว่าคุณอนันดา (แม้ว่าความเป็นดาราคนดัง อาจจะมีผลอยู่ด้วย) ก็ดูจะใจร้ายไปสักนิด และที่หลงลืมไป คนที่ทำงานด้านสถานะฯรวมทั้งคนที่ประสบปัญหาด้านนี้หลายๆคน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า กลไก หรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการดำเนินการคือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องก็ควรจะถูกตั้งคำถามต่อประเด็นนี้ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้การแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติยังค้างคาเนิ่นนานอยู่จำนวนมาก
ที่สำคัญในการเขียนบทความนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการตั้งคำถามหรือแลกเปลี่ยนความเห็นที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อหวังให้สังคมมีความเข้าใจในประเด็นปัญหาชีวิตของคนไร้รัฐไร้สัญชาตินั้นมีความจำเป็นมากมายและคาดหวังว่าจะเป็นแรงผลักดันหนึ่งที่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติ
แต่ที่เราอาจจะหลงลืมกันไปสักนิดคือ หากเราเองก็กล่าวถึงคนอื่นด้วยท่าทีแห่งความไม่เข้าใจ ตัดสินเรื่องราวจากข้อมูลเพียงส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เจตนาก็ตาม มันก็จะเป็นอีกครั้งที่ทำให้ความเป็นอื่นและความแตกต่างเกิดขึ้น และความเข้าใจที่คาดหวังก็จะยิ่งถอยห่างออกไป (อีกครั้ง)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)