เกิดการปะทะกันระหว่างฝ่ายหนุนและฝ่ายค้านโครงการเหมืองแร่โปแตซ จ.อุดรธานี ขณะที่เจ้าหน้าที่กรมเหมืองแร่ฯ และฝ่ายสนับสนุน พยายามเข้ามาปักหมุดกำหนดพื้นที่โครงการ
เวลา 14.30 น. วันนี้ (31 ต.ค.) เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี จำนวนกว่า 300 คน กับชาวบ้านผู้สนับสนุนโครงการเหมืองแร่โปแตซ จังหวัดอุดรธานี ประมาณจำนวน 200 คน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ปักหมุด รังวัด เพื่อกำหนดขอบเขตโครงการเหมืองแร่โปแตซอุดรธานี ในเขต ต.หนองไผ่ ต.โนนสูง อ.เมือง ต.ห้วยสามพาด และ ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี
การกระทบกระทั่งกันครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการพยายามที่จะเข้ามาปัดหมุดรังวัดเพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตซ โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร. ซึ่งพยายามจะดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี กล่าวหาว่า ในวันนี้ กพร. และบริษัทได้มีการว่าจ้างชาวบ้านจำนวน 200 คน ให้มาเป็นกันชนต่อชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ที่มาร่วมกันตรึงพื้นที่แต่ละจุดที่คาดว่าจะมีการเข้ามาปักหมุดรังวัด
โดยการกระทบกันระหว่างชาวบ้านทั้งสองกลุ่มนั้น เกิดขึ้นสามครั้งในบริเวณที่จะมีการปักหมุดรังวัดในพื้นที่ โดยฝ่ายที่เห็นด้วยกับโครงการฯ ได้ร้องตะโกน ส่งเสียงยั่วยุชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่จัดตั้งกลุ่มผู้หญิง เด็ก และคนแก่ มาเป็นกันชนขัดขวางการปักหมุดรังวัด โดยให้เหตุผลในการขัดขวางว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการที่ไม่ชอบธรรมและชาวบ้านขาดการมีส่วนร่วม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำหน้าที่เพียงแค่อำนายความสะดวกให้กับการปักหมุดรังวัดในแต่ละจุดเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
นางมณี บุญรอด แกนนำชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ได้กล่าวว่า ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์จะยังคงยืนหยัดขัดขวางการรังวัดปักหมุดให้ถึงที่สุด และจะไม่ยินยอมให้ใครมาแย่งชิงทรัพยากรของท้องถิ่นที่ตนเองและกลุ่มร่วมกันหวงแหนไว้ให้กับลูกหลาน
ส่วนนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน กล่าวถึงการกระทบกระทั่งกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านทั้งสองฝ่ายว่า การดำเนินการปักหมุดรังวัดขาดความชอบธรรม และได้แสดงความกังวลใจต่อความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“การปักหมุดรังวัดในครั้งนี้นั้นได้ขาดความชอบธรรมไปแล้ว เพราะชาวบ้านในพื้นที่ขาดการมีส่วนร่วม และ กพร. ไม่ได้ลงมาชี้แจงให้กับชาวบ้านในพื้นที่ก่อนว่า พื้นที่ๆ จะทำการปักหมุดรังวัดอยู่ในจุดไหนบ้าง และผมมีความห่วงใยต่อการที่บริษัทใช้เงินขนคนมา เพื่อที่จะเป็นกันชน และสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างชาวบ้านทั้งสองฝ่าย ถ้าหากสถานการณ์มันลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้มันก็จะยากต่อการควบคุม โดยเฉพาะความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเหตุการณ์มาถึงขนาดนี้ผมจึงอยากตั้งคำถามต่อบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มว่าวางตัวเหมาะสมหรือไม่ และส่วนราชการน่าจะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ให้มากกว่านี้ และสุดท้ายถ้าเหตุการปะทะกันจนถึงขั้นรุนแรงและมีคนบาดเจ็บถึงขั้นล้มตายใครจะเป็นผู้รับชอบต่อเหตุการรืที่เกิดขึ้น” สุวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ในช่วงเย็น เมื่อ กพร. และชาวบ้านฝ่ายที่เห็นด้วยกับโครงการฯ ได้ถอนตัวออกไปจากพื้นที่แล้ว ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ยังคงปักหลักร่วมกันในการเฝ้าระวังพื้นที่ตามจุดต่างๆ กันอย่างหนาแน่น และจัดเวรยามในในช่วงกลางคืน และมีการนัดหมายกันให้มาอย่างพร้อมเพรียงในเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เวลา 06.00 น. สำหรับการตรึงพื้นที่ป้องกันการเข้ามาปักหมุดรังวัดต่อไป