อนุสรณ์ อุณโณ: ตายอย่างไรให้ไม่ตาย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
 
 
นักปราชญ์ทางพุทธศาสนามักอาศัยความตายเป็นเครื่องเตือนสติ พวกเขาชี้ว่าชีวิตนี้ไม่มีแก่นสารและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นักปราชญ์บางรายเสนอว่ามนุษย์ควรเรียนรู้ที่จะตายก่อนตาย เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาตายจะได้ตายอย่างไม่ทุกข์ ความตายสามารถเป็นสุขได้หากเรารู้เท่าทัน
 
สังคมศาสตร์เสนอวิธีการรู้เท่าทันความตายเช่นเดียวกันแต่ว่าเป็นในอีกลักษณะ ในทางสังคมศาสตร์ ความตายไม่ได้ถูกนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงชีวภาพ แต่มีสถานะเป็นความเป็นจริงทางสังคมอย่างหนึ่งที่มีความหมาย แต่ความหมายของความเป็นจริงข้อนี้ไม่ได้ตกที่ตัวผู้ตาย หากแต่อยู่ที่ตัวผู้อื่นซึ่งยังมีชีวิตอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความตายในฐานะการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพส่งผลกระทบต่อการจัดความสัมพันธ์ของผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมของผู้ตาย หลายคนตายไปโดยแทบจะไม่มีใครสนใจ แต่ความตายของบางคนส่งผลต่อคนที่มีชีวิตอยู่อย่างมหาศาล หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นความตายชนิดที่ไม่ตาย
 
“ลุง” นวมทอง ไพรวัลย์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 ด้วยการผูกคอตายกับสะพานลอยคนข้ามบริเวณใกล้กับสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังที่จอดอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า เขาระบุสาเหตุของการฆ่าตัวตายไว้ในจดหมายว่า เป็นเพราะต้องการลบคำสบประมาทของนายทหารรองโฆษกคณะรัฐประหารที่ว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้” ความตายของเขาจึงไม่เพียงแต่สั่นคลอนโวหารที่ผูกขาดความกล้าหาญและความเสียสละไว้กับบุคคลในเครื่องแบบเพียงไม่กี่คนไม่กี่กลุ่ม หากแต่ยังท้าทายสถาบันจารีตที่ผูกขาดความจงรักภักดีด้วยการเสนอว่าหลักการอื่นๆ เช่น ความเสมอภาค และความเป็นธรรม ก็สามารถเป็นหลักยึดของผู้คนในแผ่นดินนี้ได้ไม่แพ้กัน 
 
ความตายของ “ลุงนวมทอง” ส่งผลกระทบในวงกว้าง คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นแม่ค้า คนทำความสะอาด คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือว่าคนขับรถแท็กซี่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับเขา เข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารโดยมีความตายของเขาเป็นความทรงจำร่วม ปัญญาชนหลายคนก้าวออกมาท้าทายการใช้อำนาจดิบหยาบของรัฐบาลอย่างเข้มแข็งมากขึ้น โดยมีความกล้าหาญและความเสียสละของเขาเป็นสิ่งเปรียบเทียบ การจัดกิจกรรมรำลึก “วีรชนประชาธิปไตย” ซึ่งเคยกระจุกตัวอยู่ที่นักศึกษา ปัญญาชน และผู้นำประชาชน ได้ขยายครอบคลุมคนธรรมดาสามัญโดยมีเขาเป็นปฐมบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณถนนราชดำเนิน ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการจัดทำประติมากรรมส่วนบนของเขาเพื่อจะนำไปติดตั้งเป็นการถาวร ความตายของเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความเสียสละที่คนธรรมดาสามัญสามารถแบ่งปันได้ และเป็นครั้งแรกที่ความตายของคนธรรมดาสามัญได้รับการจดจำอย่างกว้างขวางในกลุ่มของผู้ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและความเปลี่ยนแปลง
 
ในทางกลับกัน ความตายของคนสำคัญหรือผู้อยู่ในอำนาจส่วนใหญ่เป็นปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลง พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชนชั้นนำในสังคมวัฒนธรรมต่างๆ มักมีเป้าหมายที่การกระชับข่ายความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ดำรงอยู่ หรือเพื่อสร้างหลักประกันว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจจะเกิดขึ้นอย่างราบรื่น คติความเชื่อและสัญลักษณ์ต่างๆ มักถูกใช้เพื่อตอกย้ำอาญาสิทธิ์และความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ ผู้อยู่ใต้ปกครองจะถูกเกณฑ์มาทั้งในส่วนของการใช้แรงงานและการเข้าร่วมแสดงความจงรักภักดี ขณะที่ในเอเชียอาคเนย์สมัยที่อาณาจักรต่างๆ สัมพันธ์กันในเชิงบรรณาการ เจ้าผู้ครองนครหรือแคว้นเล็กมีพันธกรณีต้องเข้าร่วมพิธีศพของเจ้าผู้ครองแคว้นใหญ่และเครือญาติ นอกเหนือไปจากการส่งส่วย ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง รวมทั้งเสบียงอาหารและไพร่พลยามศึกสงคราม นอกจากนี้ ผู้ปกครองในสังคมร่วมสมัยยังมักกำหนดให้มีการจัดพิธีรำลึกความตายของผู้ที่อยู่ในข่ายอำนาจเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีกิจวัตรในการเป็นศูนย์กลางในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของผู้ซื่อสัตย์ เพื่อตอกย้ำความจงรักภักดีของผู้อยู่ใต้การปกครอง 
 
สังคมไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและผู้อยู่ในอำนาจต่างก็พากันกังวลว่าจะประคองตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้อย่างไร พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายจึงถูกพวกเขาใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายครั้งนี้ ภาพยนตร์และละครอิงประวัติศาสตร์ที่เน้นความจงรักภักดีของราษฎรอย่างพลีกายถวายชีวิตได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษ ความตายของชาวบ้านบางระจันที่ต้องการปกป้องทรัพย์สินและบ้านเรือนของพวกเขาถูกหมายความเป็นการปกป้องชาติบ้านเมืองหรืออาณาจักรอยุธยา ขณะเดียวกันผู้อยู่ในอำนาจก็หยิบเลือกความตายของผู้อยู่ใต้ปกครองที่เกื้อหนุนสถานภาพพวกเขามายกย่องสรรเสริญ การเสียชีวิตของสมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้รับการยกย่องเชิดชูว่าเป็นการเสียสละเพื่อชาติ และมีการจัดพิธีศพให้อย่างโอ่อ่า แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการตายจะยังไม่กระจ่างชัด ความตายของทหารในช่วงการล้อมปราบกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างมากแม้จะยังคงมีความครุมเครืออยู่เช่นกัน ทหารเหล่านี้ได้รับการเลื่อนชั้นยศเป็นกรณีพิเศษ พิธีศพของพวกเขาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และความตายของพวกเขาได้รับการแซ่ซ้องสดุดี เพื่อเป็นเครื่องชี้ว่าความซื่อสัตย์และจงรักภักดีเหล่านี้จะได้รับการตอบแทนอย่างที่สุด
 
เพราะเหตุนี้ นอกจากมรณานุสติตามหลักพุทธศาสนา การรำลึกถึงความตายของ “ลุงนวมทอง” จึงต้องวางอยู่บนบริบททางการเมืองที่เขาเกี่ยวพันอยู่ด้วย “ลุงนวมทอง” เลือกที่จะตายก่อน ตายเพื่อที่จะได้ไม่ตายอย่างไร้ความหมาย เขาต้องการให้ความตายของเขาหมายถึงการไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่ฉ้อฉลและอยุติธรรมที่กำลังพยายามหาทางออกให้กับตัวเองท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ผู้อยู่ในอำนาจเห็นความตายของเขาเป็นภัยคุกคาม จึงออกจะเพิกเฉย ไม่ปรากฏผู้มีอำนาจรายใดเดินทางหรือส่งพวงหรีดไปร่วมงานศพ หากเป็นไปได้พวกเขาต้องการให้ความตายของ “ลุงนวมทอง” เป็นเรื่องของการฆ่าตัวตายของคนวิกลจริต สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน หรืออาจจะอาศัยกาลเวลาช่วยให้เรื่องราวของเขาลบเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคม จึงเป็นพันธกรณีของผู้ที่อยู่ข้างหลังเช่นเราว่าจะทำอย่างไรให้ความตายของเขาไม่สาบสูญ ทำอย่างไรให้ความหมายของความตายของเขายังคงมั่นและดังกึกก้องไปทั่ว มารำลึกถึงความตายของ “ลุงนวมทอง” ร่วมกัน
 
 
หมายเหตุ: บทความตีพิมพ์ในคอลัมน์ คิดอย่างคน ในหนังสือรายสัปดาห์ “มหาประชาชน” ปีที่ 1 ฉบับที่ 9 (29 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2553)
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท