Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

รัฐบาลทหารพม่ามุ่งหวังอะไรจากการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง?

ส่วนใหญ่ของคำตอบที่ผมได้ยินมา คือต้องการสร้างความชอบธรรมให้ระบอบเผด็จการของตน แม้ฟังดูมีเหตุผลดี เพราะทั้งรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ไม่ได้นำไปสู่อะไรที่ใกล้เคียงประชาธิปไตยเอาเลย ข้อนี้ใครๆ ก็เห็นมาแต่แรกแล้ว

ดังนั้น ถึงจะมีหรือไม่มีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ก็ไม่น่าจะทำให้ใครที่ยังมีสัญญาเป็นปกติ เชื่อได้ว่ารัฐบาลพม่ากำลังจะนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตย อย่างน้อยรัฐบาลทหารพม่าก็รู้ดีว่า "ประชาธิปไตย" ของตน จะแตกต่างจากความเข้าใจของคนทั้งโลก จึงตั้งสมญาให้แล้วว่า "ประชาธิปไตยภายใต้วินัย"

หากระบอบทหารของพม่าขาดความชอบธรรม รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งก็ไม่น่าจะทำให้เกิดความชอบธรรมมากขึ้นตรงไหน

บางคนกล่าวว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ขาดความชอบธรรมนี้ จะสามารถสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารปราบปรามชนกลุ่มน้อยได้มากขึ้น แต่ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เห็นรัฐบาลทหารลังเลในการใช้กำลังปราบชนกลุ่มน้อยตรงไหน อันที่จริง สงครามปราบชนกลุ่มน้อยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลทหารตลอด มา อย่างน้อยก็แก่ประชาชนเชื้อสายพม่า เพราะรัฐบาลทหารตั้งแต่สมัยเนวินอ้างเสมอว่า ขาดซึ่งกองทัพ พม่าก็ไม่อาจดำรงความเป็นสหภาพไว้ได้ ต้องแตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยหลายรัฐ

ที่ทหารพม่าปราบปรามไม่สำเร็จเสียที ก็เพราะทหารพม่ายังไม่มีสมรรถนะที่จะทำได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรบกันไปนานเข้า ทหารพม่าเองก็เข้าไปพัวพันเก็บส่วยจากการค้ายาเสพติดของชนกลุ่มน้อย จนกระทั่งสภาพสงครามนั่นแหละที่ทำกำไรให้นายทหาร โดยเฉพาะแม่ทัพ ที่ถูกส่งไปตรึงกำลังปิดล้อมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ในระยะสัก 10 ปีที่ผ่านมา กองทัพพม่าได้ทุ่มเงินซื้อหาอาวุธและเตรียมการสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองอย่างมาก จนกระทั่งประเมินกันว่า กองทัพมีสมรรถนะพอจะจัดการกับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยได้ในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงสั่งให้กองกำลังของชนกลุ่มน้อยที่มีสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลทหาร แปรตนเองเป็นกองกำลังรักษาชายแดน แต่ส่วนใหญ่ของกองกำลังชนกลุ่มน้อยไม่เอาด้วย แม้แต่กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธซึ่งเคยร่วมมือกับพม่าในการปราบกะเหรี่ยงคริสต์ มาก่อน บางส่วนก็ไม่ยอม ซ้ำยังประกาศบอยคอตการเลือกตั้งเสียอีก

ทั้งหมดนี้แสดงว่ากองทัพพม่าเชื่อมือตนเองยิ่งกว่าครั้งใดที่ผ่านมา และถึงอย่างไรก็จะเปิดสงครามใหญ่กับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม

รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งจะช่วยทำให้ประเทศอื่นลงทุนและค้าขายในพม่าได้สะดวกใจขึ้นหรือไม่ ดูเผินๆ เหมือนมีส่วนช่วยบ้าง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่คู่ค้าสำคัญคือจีนและอินเดียนั้นสะดวกใจในการลงทุนและค้าขายในพม่าอยู่แล้ว ไม่ว่าพม่าจะปกครองด้วยเผด็จการทหารเข้มงวดสักเพียงใด เกาหลีเหนือก็ยังคงให้ความช่วยเหลือทางทหารและวิชาการต่อไป ถ้าพม่าต้องการ ส่วนประเทศตะวันตกทั้งหลาย ถ้าสามารถทำอย่างจีนและอินเดียได้โดยไม่ถูกประชาชนในประเทศก่นประณาม ก็คงทำไปนานแล้ว

คำถามคือรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่นับวันยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่อาจให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารได้นี้ จะทำให้ภาพพจน์ของพม่าในสายตาของประชาชนในโลกตะวันตกดีขึ้นหรือไม่ ผมคิดว่าไม่และจะยิ่งไม่มากขึ้นเมื่อข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งแพร่หลายออกมามากขึ้น ฉะนั้นตะวันตกก็จะถูกตรึงไว้ที่เดิม คือลงทุนและค้าขายในพม่าได้อย่างไม่เต็มที่นัก (ในวันที่เขียนบทความนี้ ประธานาธิบดีโอบามาเพิ่งกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านายกรัฐมนตรีอินเดียว่า รัฐบาลทหารพม่าขโมยประชาธิปไตยไปจากประชาชน มหาอำนาจอย่างสหรัฐและอินเดียควรร่วมกันประณาม)

ด้วยเหตุดังนั้นอาเซียนจะสะดวกใจขึ้นกว่าเก่าได้อย่างไรหากท่าทีของประเทศตะวันตกยังเหมือนเดิม

ผมพยายามหาเหตุผลใดๆ มาอธิบายไม่ได้ว่า รัฐบาลทหารต้องการรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งไปทำไม ความรู้ที่จำกัดของผมบอกได้แต่ว่า หากกองทัพพม่าสามารถคุมกองกำลังชนกลุ่มน้อยได้รัดกุมขึ้น ส่วยยาเสพติดที่เรียกเก็บอยู่เวลานี้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกโขด้วย

แม้ไม่ตื่นเต้นกับรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งของพม่า แต่ผมก็ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งอาจนำความเปลี่ยนแปลงบางอย่างมาให้แก่พม่า ทั้งในทางร้ายและทางดี เท่าที่ผมนึกออกเวลานี้ มีอยู่สามอย่าง

ด้านการเมืองโดยรู้ผลการเลือกตั้งที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า ที่นั่งประมาณ 80% ตกเป็นของพรรคฝ่ายรัฐบาลทหาร ตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อน ผมคาดว่ากองทัพพม่าต้องปล่อยให้พรรคที่ไม่ได้เป็นแนวร่วมของพรรค USDP ได้ชัยชนะบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ให้น่าเกลียดเกินไป และที่สำคัญกว่านั้น คือสร้างศัตรูใหม่ที่ไม่น่ากลัวเท่าดอว์ออง ซาน ซูจี แล้วปล่อยให้ศัตรูใหม่ลดทอนรัศมีของ "ท่านผู้หญิง" ลงบ้าง แต่เดาไม่ถูกว่า จะปล่อยที่นั่งให้ฝ่ายค้านในเขตพม่าหรือเขตของชนกลุ่มน้อย

ไม่ว่าจะ อยู่ในเขตไหน ส.ส.ฝ่ายค้านเหล่านี้ย่อมไม่สามารถมีบทบาทอะไรมากนักในสภา (ทั้งจำนวน, ประธาน, และสื่อที่ถูกควบคุม) บทบาทของเขาจึงอยู่นอกสภาซึ่งไม่มีผลอะไรต่อการบริหารของกองทัพก็จริง แต่ทำให้เขาต้องมีและรักษา "เครือข่าย" ทางการเมืองในภาคประชาชนเอาไว้

นี่คือการจัดองค์กรทางการเมืองอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกในเวลาหลายทศวรรษภายใต้เผด็จการทหารพม่า

จากจุดเล็กๆ เช่นนี้ย่อมมีผลให้สังคมการเมืองพม่าเริ่มเปลี่ยน อาจไปในทางร้ายกว่าเดิมก็ได้ เช่นทหารจับทั้ง ส.ส.และเครือข่ายเข้าคุกหมดเป็นต้น หรือในทางที่ดีกว่าเดิมก็ได้ เช่นเครือข่ายเหล่านี้อาจเคลื่อนไหวทางสังคม และขยายตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

ด้านชนกลุ่มน้อย นักวิชาการตะวันตกในออสเตรเลียคาดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หลังเลือกตั้ง ทหารพม่าจะเปิดฉากรุกชนกลุ่มน้อยเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะที่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง จะเป็นผลให้มีการหลบหนีภัยเข้าสู่ไทยจำนวนมาก

คำถามก็คือความแข็งแกร่งของกองทัพพม่าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สามารถควบคุมกองกำลังชนกลุ่มน้อยได้ในที่สุดหรือไม่

ผมออกจะสงสัยว่าไม่ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเป็นด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ใช่สมรรถนะเชิงยุทธวิธี กองทัพพม่านั้นไม่เคยมีชื่อเสียงด้านยุทธศาสตร์ยุทธวิธี แกนกลางของนายทหารของกองทัพพม่าที่อังกฤษสร้างไว้คือกะเหรี่ยง (คริสต์) ที่ปฏิเสธเข้าร่วมในสหภาพมาแต่ต้น ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของกองทัพได้เรียนรู้จากจีนในภายหลัง แต่ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของจีนคือการทุ่มกำลังมหึมาเข้าท่วมทับข้าศึก จะสูญเสียเท่าไรก็รับได้ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเช่นนี้กองกำลังที่มีพลน้อยกว่าอาจจัดการได้ ดังเช่นการสอนบทเรียนของกองทัพเวียดนามเป็นต้น

กองทัพพม่าเคยใช้ วิธีแบบจีนอย่างได้ผลมาหลายครั้งในการศึกครั้งใหญ่กับพรรคคอมมิวนิสต์และ ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มที่ร่วมกับกำลังของก๊กมินตั๋ง กำลังชนกลุ่มน้อยจึงเรียนรู้ที่จะไม่ปะทะกับกองทัพพม่าในศึกใหญ่ แม้แต่ฐานที่ตั้งของตนก็พร้อมจะสละทิ้งทันที ถ้าพม่าขนทหารมาท่วมทับเมื่อไรก็ตาม และนี่คือเหตุผลที่พม่าไม่สามารถปราบกองกำลังของชนกลุ่มน้อยได้เสียที แม้ว่าสามารถหยุดการเติบโตถึงขั้นที่จะคุกคามพม่าได้

อาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่พร้อมพรั่งมากขึ้นเพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทางการทหารเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยไปได้ ในขณะเดียวกันกองทัพพม่าก็ไม่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางการเมืองใดๆ เพื่อยุติปัญหาด้วยแล้ว หนทางข้างหน้าคือการสู้รบกันไปเรื่อยๆ มากกว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกหลังการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ กองทัพพม่าก็คงมีนโยบายใช้กำลังมากขึ้นอยู่ระยะหนึ่ง ฉะนั้นคงมีสงครามและการอพยพของประชาชนทั้งโดยทางบกและทางเรือ ซึ่งจะทำให้แรงกดดันจากนานาชาติยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ทางฝ่ายชนกลุ่มน้อย หากกองกำลังต้องย้ายฐานที่มั่นอยู่เสมอ ก็ยากที่จะสร้างความแข็งแกร่งขึ้นได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือฐานที่มั่นนอกจากใช้เป็นศูนย์บัญชาการและฝึกทหารแล้ว ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือเป็นฐานเศรษฐกิจในการผลิตยาเสพติดหรือเก็บส่วย ค่าผ่านแดน หรือค่าตัดไม้ การย้ายฐานแต่ละครั้งจึงเท่ากับทำลายฐานทางเศรษฐกิจไปด้วย แต่เศรษฐกิจยาเสพติดไม่ได้ให้ประโยชน์แก่กำลังของชนกลุ่มน้อยเท่านั้น ยังเป็นทางทำมาหาได้ของนายทหารพม่าด้วย ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว คงมีการเจรจาตกลงอะไรกันบางอย่าง (เช่นหยุดยิง แล้วเลิกนโยบายผนวกกองกำลังของชนกลุ่มน้อยเข้ามาเป็นกองกำลังป้องกันชายแดน) จนสถานการณ์กลับมาเหมือนเดิม กล่าวคือต่างฝ่ายต่างรักษากองกำลังของตนเอาไว้ และต่อรองกันด้วยวิธีการอันหลากหลาย ทั้งทางการทหาร, ผลประโยชน์, และอื่นๆ ตามแต่จังหวะและโอกาส

นอกจากนี้ ยิ่งรัฐบาลทหารกดดันชนกลุ่มน้อยมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้กองกำลังเหล่านี้ร่วมมือกันในทางปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพพม่าไม่อยากเห็น ดังเช่นกองกำลังกะเหรี่ยง KNU ให้ความร่วมมือแก่ศัตรูเก่าคือกองกำลังของ DKBA ในครั้งนี้ และอ้างกันว่ากองกำลังของไทยใหญ่ก็ได้รับสัญญาความร่วมมือกับพรรคมอญใหม่ แล้วเป็นต้น อย่างไรก็ตาม สัญญาร่วมมือกันของชนกลุ่มน้อยนั้นเคยทำกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยมีผลในทางปฏิบัติ

จะมีผลอย่างไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในภาคสนามมากกว่า

ด้าน ดอว์ออง ซาน ซูจี เชื่อได้ว่ารัฐบาลทหารคงปล่อยตัวเธอจากการจำขังไว้ที่บ้านอย่างน้อยในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติอาจตรวจตราหรือกีดกันการเข้าออกพอสมควร เพราะการกักตัว "ท่านผู้หญิง" ดึงดูดแรงกดดันจากนานาชาติมากเกินคุ้ม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตัว "ท่านผู้หญิง" เองจะทำอะไรหลังจากนั้น หากท่านหาเส้นทางที่ "สมดุล" ระหว่างการเคลื่อนไหวซึ่งมีนานาชาติหนุนหลัง กับความมั่นคงของอำนาจทางการเมืองของกองทัพได้ ท่านก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อไปได้

บางคนเห็นว่าท่านควรหันมาเคลื่อนไหว ทางสังคมแทนการเมือง เพื่อรักษาตัวท่านไว้สำหรับโอกาสเปิดทางการเมืองในภายหน้า แต่ผมคิดว่าสองอย่างนี้แยกจากกันไม่ได้ ในที่สุดท่านก็จะเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจทางการเมืองของกองทัพจนได้ การใช้ม็อบเถื่อนเข้าทำร้ายอย่างที่เคยทำมาแล้ว คงไม่สำเร็จ เพราะผู้สนับสนุนท่านคงให้การอารักขายิ่งกว่าเดิม ลอบสังหาร ก็คงทำให้เกิดจลาจลครั้งใหม่และยิ่งเพิ่มแรงกดดันจากนานาชาติ

ผม มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่า คนอย่าง "ท่านผู้หญิง" นั้น รัฐบาลเผด็จการทหารจะทำอะไรได้ นอกจากกักตัวไว้ที่บ้านตามเดิม ฉะนั้นถึงท่านจะได้รับอิสรภาพหลังการเลือกตั้ง ก็คงเป็นการชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็คงถูกจับกักตัวไว้ตามเดิม แต่อาจให้อิสระในการพบปะผู้คนมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

เช่นชาวต่างชาติอาจพบได้ แต่ชาวพม่าพบไม่ได้เป็นต้น

 

ที่มา:มติชนออนไลน์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net