Skip to main content
sharethis

โฆษก บชน.แถลงข้อห้ามพันธมิตรฯ ชุมนุมคัดค้านแก้ รธน. 23 พ.ย. 5 ข้อ ด้านแม่ทัพภาคที่ 1 ห่วงมือที่ 3 จ้องป่วนเผยตำรวจเตรียมแผนเฝ้าระวังเสนอ ศอฉ.

21 พ.ย. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่าพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวถึงมาตรการรับมือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นัดชุมนุมใหญ่บริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ว่า  สำหรับที่ประชุมสภาจะมีการประชุมขึ้นในวันที่ 23-25 พ.ย. นี้  ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้กำหนดแนวทางไว้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ปฏิบัติหลัก  ซึ่งจะเข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน  โดยยึดตามประกาศของ ศอฉ. จำนวน 5 ข้อคือ

1.ห้ามไม่ให้มีการปิดการจราจร

2.ห้ามไม่ให้มีการขวางทางเข้าออกบริเวณโดยรอบรัฐสภา

3.ห้ามไม่ให้มีการโชว์ป้ายที่มีข้อความข่มขู่ และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อผู้อื่น

4.ห้ามไม่ให้มีการใช้เครื่องขยายเสียง หรือการพูดเพื่อยั่วยุให้เกิดการแตกแยก

5.ห้ามไม่ให้มีการล่วงละเมิดสถาบัน พระมหากษัตริษย์ ไม่ว่าจะเป็นเสียง คำพูด หรือการชูป้ายประกาศต่างๆซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างเคร่งครัด

โดยเบื้องต้นทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. และพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น.  ได้มอบหมายให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เป็นผู้ทำการเจรจาต่อรองกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกฝ่าย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้รับมอบเงื่อนไขนี้มาเป็นอย่างดี โดยทางตำรวจจะเข้าประจำการดูแลที่บริเวณรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน โดยให้ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล1 เป็นผู้ดูแลในพื้นที่ก่อนจำนวน 1 กองร้อย

จากนั้นเมื่อถึงเวลาช่วงเช้าของวันที่ 23 พฤศจิกายน  ก็จะให้เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (ดีโอดี) บก.สปพ.บช.น. เข้าทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบรัฐสภาอย่างละเอียด พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ภายในรัฐสภา  ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่นั้นจะเสริมหน่วยอื่นเข้าไปช่วยในระลอกแรกจำนวน  4 กองร้อย  เพื่อให้ควบคุมดูแลบริเวณโดยรอบรัฐสภา ห้ามไม่ให้มีการปิดทางเข้าออกรัฐสภา รวมทั้งห้ามไม่ให้มีการปิดถนนบริเวณถนนอู่ทองในและถนนราชวิถี  และให้มีกำลังเจ้าหน้าที่คอยสแตนบายเตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งเพื่อเป็นกำลัง เสริมในระลอกที่ 2 อีกจำนวน 6 กองร้อย และระลอกที่ 3 อีกจำนวน 10 กองร้อย รวมทั้งกำลังตำรวจหญิงอีก 1 กองร้อยร่วมด้วย  ซึ่งกำลังตำรวจทั้งหมดจะคอยดูแลทางเข้าออกของรัฐสภาทุกด้าน  บริเวณถนนโดยรอบรัฐสภาทั้งหมด  รวมทั้งตามรั้วต่างๆ เพื่อป้องกันกลุ่มมือที่ 3 เข้ามาปั่นป่วนสร้างสถานการณ์

สำหรับการข่าวเรื่องมือที่ 3 นั้น เบื้องต้นจากการตรวจสอบของทาง ศอฉ. นั้นยังไม่พบว่าจะมีกลุ่มมือที่ 3 เข้ามาปั่นป่วนสร้างสถานการณ์  แต่ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ประมาท  มีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา  และมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า  กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปก.น.) อยู่ภายในอาคารรัฐสภา  เพื่อประชุมวอลลูมควบคุมดูแลเหตุการณ์และดูแลความเรียบร้อยในภาพรวมตลอด 24 ชั่วโมง   พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรัฐสภา เพื่อให้ช่วยดูแลอีกส่วนหนึ่ง  นอกจากนี้ยังทาง บช.น. ยังได้ประสานไปยัง ศอฉ. เพื่อประสานขอกำลังทหารในการร่วมปฏิบัติหน้าที่ด้วย โดยอาจจะให้ทหารเป็นกำลังเสริมอยู่ในที่ตั้งจำนวนหนึ่ง ซึ่งเบื้องต้นอาจจะเป็นบริเวณภายในกองทัพภาคที่ 1

ส่วนเรื่องการขายสินค้านั้นจะต้องแยกประเด็นต่างๆว่าเป็นการขายอะไรบ้าง ซึ่งในเบื้องต้นหากเป็นการขายเสื้อผ้าธรรมดาก็คงจะขายได้  หรือหากเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดความยั่วยุตามประกาศของ ศอฉ. เช่น  เป็นสินค้ามีการเขียนข้อความคำด่าหรือคำพาดพิงถึงบุคคลอื่นนั้น  ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปเจรจาก่อนเพื่อแจ้งให้ทราบว่าสินค้านี้ผิดตาม ประกาศของ ศอฉ. และให้เลิกขายสินค้าดังกล่าว แต่หากพ่อค้าแม่ค้ายังไม่เลิกขายก็อาจจะมีการจับกุมดำเนินคดีต่อไป  ทั้งนี้หากเป็นสินค้าที่มีการล่วงละเมิดสถาบัน เจ้าหน้าที่ก็จะทำการจับกุมทันทีเช่นกัน  อย่างไรก็ตามสำหรับการขายของนั้นจะต้องดูที่เจตนาของทุกฝ่าย ซึ่งทางตำรวจไม่ใช่หน่วยงานหลัก แต่เป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจที่จะเป็นผู้คอยดูแลเป็นหลัก

ส่วนเรื่องการใช้เครื่องขยายเสียงนั้น หากเป็นโทรโข่งก็อาจจะอนุญาตให้ใช้ได้เพื่อควบคุมดูแลฝูงชน แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ที่ก่อให้เกิดความยั่วยุและก่อให้เกิดความวุ่นวาย  เช่นเครื่องขยายเสียงติดรถ หรือเครื่องขยายเสียงที่ตั้งบนถนน และอื่นๆ รวมทั้งหากมีการพูดจาที่เป็นการยั่วยุ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปจัดการเช่นกัน  ทั้งนี้หากทางแกนนำต้องการที่จะใช้เครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่เพื่อควบคุมฝูง ชนจำนวนมาก ก็อาจจะอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ของทางเจ้าหน้าที่ได้

ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่นั้น จากการข่าวเบื้องต้นทราบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการจะยื่นเรื่องเสนอการคัดค้านประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมสภา ซึ่งคงต้องต้องดูว่าทางรัฐสภาจะรับเข้าไปวาระไว้พิจารณาเป็นประเด็นเร่งด่วน หรือไม่  แต่ทั้งนี้การข่าวพบว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรคงจะไม่ยืดเยื้อ ทั้งนี้หากมีการชุมนุมที่ยืดเยื้อจริง ก็คงจะให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อให้กลับไป แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงยืนยันไม่ยอมกลับและมีการชุมนุมระยะยาว ก็อาจจะใช้มาตรการกำหนดควบคุมพื้นที่ในบริเวณที่จำกัด เช่นอาจจะให้อยู่แต่บนฟุตบาท และจะเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่าขณะนี้ยังคงอยู่ในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  ซึ่งหากมีการกระทำผิดเกิดขึ้นก็อาจจะถูกจับกุมได้

นอกจากนี้ทางนายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับเจ้าหน้าที่ เรื่องการจัดแบ่งพื้นที่ให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม  ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะไม่ได้มาชุมนุมเพียงแค่กลุ่มเดียว และอาจจะมีหลายกลุ่ม จึงต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้กับกลุ่มต่างๆ มีเจ้าหน้าที่และรั้วกั้นระหว่างกลุ่ม  เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมุนมอยู่แต่ในพื้นที่ของตนเอง เนื่องจากแต่ละกลุ่มอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจนทำให้เกิดการเผชิญหน้า กันและเกิดการกระทบกระทั่งกันได้  เพื่อป้องกันเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆที่จะเกิดขึ้น

สำหรับในวันที่ 23 พ.ย. นี้ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็สามารถมาร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆได้  แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ห้ามมีการกระทำผิดในกติกาที่ตกลงกันไว้  โดยเจ้าหน้าที่จะเน้นการเจรจากับทุกฝ่ายเป็นหลัก  แม้ว่าการข่าวจะไม่ยืดเยื้อและไม่รุนแรงก็ตาม  ทางเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ประมาทและยืนยันว่าจะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยมาก ที่สุดอย่างเต็มความสามารถ

มทภ.ที่ 1 ห่วงมือมืดจ้องป่วนพันธมิตรชุมนุม

ด้านไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าพล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึง การเตรียมกำลังทหารเพื่อดูแลความสงบในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรใน วันที่ 23-25 พ.ย.นี้ ว่า เรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ทำแผนการปฏิบัติและนำมาชี้แจงในที่ ประชุม ศอฉ. ส่งทางกองทัพ เรามีกำลังที่มีความพร้อมสามารถเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานหากมีการร้องขอสนับ สนุนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นศอฉ. มอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับผิดชอบดูแล ซึ่งเร็วๆนี้ทางตำรวจจะมีแผนมาชี้แจงกับ ศอฉ. อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ทาง ศอฉ. เฝ้าระวังมือที่3 ซึ่งการปฏิบัติก็เป็นไปตามที่กลุ่ม นปช.ชุมนุม

“เราทุกคนมีความ ห่วงใยไม่อยากให้มีการชุมนุม เพราะประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้ชุมนุมไม่ว่าจะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม หรือถ้าจะชุมนุมก็ขอให้อยู่ในกรอบของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนทั่วๆไป อย่างไรก็ตาม คิดว่าทางตำรวจรับสถานการณ์ได้และกลุ่มพันธมิตรเองก็น่าจะให้ความร่วมมือพอ สมควร เพราะตนไม่อยากคาดเดาไปในทางที่ไม่ดีแต่ก็ต้องระมัดระวังและติดตามเหตุการณ์ ที่ต้องระวังมากที่สุด คือกลุ่มบุคคลที่ 3จะเข้ามาก่อความรุนแรง” พล.ท.อุดมเดช กล่าว

เมื่อถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มาชุมนุม 3 วันทางเจ้าหน้าที่จะควบคุมอย่างไร พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า ขณะนี้ไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะมีผู้ชุมนุมเท่าไร แต่คงมีจำนวนพอสมควรซึ่งเราติดตามอยู่ และ การชุมนุม 23-25 พ.ย. เราก็เป็นห่วงว่าจะละเมิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหรือไม่ เรื่องนี้ได้มีการขอความร่วมมือไปแล้วว่าจะต้องอยู่ในกรอบของ พ.ร.ก.หวังว่าการชุมนุมน่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เมื่อถามว่า กลุ่มมือที่ 3 จะเข้ามาสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่ความปั่นป่วนและการปฏิวัติ มีความเป็นไปได้หรือไม่ พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า คำว่าปฏิวัติตนไม่ขอกล่าวเพราะ ผบ.ทบ.ได้พูดไปแล้ว แต่เรื่องมือที่ 3 ที่เราเป็นห่วงมีความเป็นไปได้ว่า พอมีการชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง อาจจะทำอะไรขึ้นมาเพื่อเสริมการชุมนุม ทำให้ปั่นป่วนมีปัญหาก็ได้ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสองกรณี

“วันนี้เป็นวันลอยกระทงที่มีประชาชนยออก นอกบ้านไปสถานที่ต่างๆ ผมได้เน้นย้ำกำลังทหารตามจุดต่างๆเพิ่มความระมัดระวังและสังเกตุสิ่งปกติให้ มากขึ้น รวมถึงจุดตรวจต่างๆที่ปฏิบัติหน้าที่กัน24 ชั่วโมงและมีการเพิ่มจุดตรวจตามห้วงเวลาอาทิเวลา 18.00 น.ถึง 06.00 น.ก็จะปรับให้มีการเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้นตั้งแต่17.00 น.เป็นต้นไปทั้งรนีเพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยมากที่สุด” พล.ท.อุดมเดช กล่าว

เมื่อถามว่าในช่วงวันที่ 5 ธันวาฯที่จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อในหลวงทางกองทัพเป็นห่วงอะไรหรือไม่ พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า กองทัพอยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงออกถึงความปราถนาดีของ แต่ละกลุ่มในกรอบที่สมควรเพราะใกล้วันสำคัญแก่คนไทยทั้งชาติดังนั้นเราควร ที่จะให้สถานการณ์นิ่งที่สุดตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่5ธันวาฯ ทั้งนี้ อยากให้คนไทยร่วมมือกันเพราะการชุมนุมทำให้เกิดสถานการณ์ไม่นิ่งถ้า เป็นไปได้จากนี้เป็นต้นไปน่าที่จะหยุดกิจกรรมการชุมนุมเพื่อให้สถานการณ์ เกิดความเรียบร้อยในช่วงวันสำคัญทุกคนจะได้มีความสุข

เมื่อถามว่า ผบ.ทบ. ได้พูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้อย่างไร พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า ท่านได้กำชับให้ทุกหน่วยช่วยกันดูแลติดตามสถานการณ์ให้เกิดความเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือความปลอดภัย ต้องดูแลให้เต็มที่ เมื่อถามว่า ศอฉ. ออกคำสั่งห้ามขายสินค้าที่มีข้อความหมิ่นสถาบันฯ และความแตกแยก พล.ท.อุดมเดชกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นว่าอาจจะเกี่ยวกับสถาบันฯ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ควรที่จะทำอะไรในเชิงหมิ่นเหม่ต่อสถาบันฯ สิ่งใดที่กระทำแล้วไม่เหมาะสมก็ไม่ควรกระทำ ซึ่งเรื่องนี้ทางทหารเรามีความเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:

โฆษก บชน.แถลงข้อห้ามพันธมิตรฯชุมนุมคัดค้านแก้รธน. 23 พ.ย. (มติชนออนไลน์, 21-11-2553)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1290337344

มทภ.ที่ 1 ห่วงมือมืดจ้องป่วนพันธมิตรชุมนุม (ไทยรัฐออนไลน์, 21-11-2553)
http://www.thairath.co.th/content/pol/128567

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net