Skip to main content
sharethis

หงอยเกินคาด สำหรับการชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 23-25 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประเมินกันว่าม็อบ พธม.มาชุมนุม 5,000 คนที่สุดอยู่ที่ไม่เกินพัน เป็นตัวเลขที่ตำรวจนั่งนับนิ้วเอง

เกิดอะไรขึ้นกับ พธม. "โพสต์ทูเดย์" พูดคุยกับ"สุริยะใส กตะศิลา" ผู้ประสานงาน พธม. เขาออกตัวว่า การชุมนุมครั้งนี้เรื่องกำลังคนไม่ใช่ประเด็น เพราะวัตถุประสงค์ คือการตีแผ่วาระซ่อนเร้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะจุดยืนที่กลับไปกลับมาของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ต้องเป็นแกนนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง พธม. ต้องการชี้ให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลแบบนี้ คงฝากผีฝากไข้ไม่ได้
         
"ที่เจ็บใจที่สุด คือสังคมไทย ได้วางมาตรฐานว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ ปชป.กลับมาทำลายมาตรฐานนี้ ต่อไปหากพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอยากนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ใหม่ก็ทำแบบรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยตั้งนักวิชาการขึ้นมา จากนั้นให้สภาเสียงข้างมากอนุมัติ หากถึงเวลานั้น ปชป.จะไปด่าพท.ไม่ได้ เพราะตัวเองสร้างมาตรฐานแบบนี้ไว้"
         
นอกจากนี้ เหตุที่คนมาน้อยเพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่ใช่สงครามแตกหักเพื่อขับไล่รัฐบาลและการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ดึงดูดมวลชนเท่ากับเรื่องขับไล่ระบอบทักษิณ การที่ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรมแรงต้านจึงลดลงไปเยอะ ที่สำคัญมันเป็นภาวะทับซ้อนกันระหว่างพธม.กับ ปชป.ที่มีมวลชนกลุ่มเดียวกัน เห็นได้ว่านอกจากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวโยงกับเรื่องทักษิณแล้วยังเกี่ยวข้องกับ ปชป.โดยตรง ทำให้แฟน พธม.รู้สึกลังเลเพราะอยากให้โอกาสกับ ปชป.
         
เขายอมรับว่าบทเรียนที่เกิดขึ้นอาจเป็นการจัดระเบียบใน พธม.ด้วยซ้ำว่ากำลังที่แท้จริงมีอยู่แค่ไหนเพื่อที่จะนำไปสร้างการเมืองใหม่โดยพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) ของ พธม.ตอนนี้มีสมาชิก 1.5 หมื่นคนกำลังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตัวเองกับมวลชนว่า เราสามารถเป็นบ้านหลังใหม่ของประชาชนได้ เพราะ กมม.ต่างจาก ปชป.อย่างชัดเจน แน่นอนว่าเราอาจจะมีจุดยืนเรื่องต่อต้านระบอบทักษิณเหมือนกัน แต่ยุคหลังทักษิณเราต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะถ้าไม่เห็นต่างกันจริงๆ เราคงรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ไปนานแล้ว
         
"วันนี้แม่ยก พธม.หรือใครหลายคนอาจจะลังเลและไม่สบายใจว่าทำไมต้องมาทะเลาะกันเอง บางคนบอกว่าฉันขออยู่กับนายกฯ ไม่ขอไปกับเรา ผมไม่ซีเรียส แต่วันหนึ่งถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาเกาะไว้มันไม่ใช่ของจริง เราเชื่อว่าเขาจะกลับมาหาเราเอง"สุริยะใส ระบุย้ำด้วยเวลาที่มีจำกัดกับอีกหลายประเด็นที่เราอยากรู้อีกมาก เช่น พธม.และ กมม.จะวางบทบาทตัวเองอย่างไร ภารกิจจะจบเมื่อไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไร ประเด็นที่ขายได้แค่เรื่องต่อต้านระบอบทักษิณหรือเปล่า ทิศทางการเมืองไทยในทัศนะ พธม.
         
"สุริยะใส" ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า แกนนำ พธม.เคยคุยกันและตกผลึกว่า สถานการณ์ มันบีบให้เราต้องรวมตัวกันเข้าไว้ เลิกไม่ได้ไม่รู้ว่าจะเป็นเวลากี่ปี โดยเฉพาะตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเคลื่อนไหวที่จะกลับเข้ามาเรืองอำนาจและ พท.ยังพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำทักษิณกลับมา เราก็มีสิทธิเคลื่อนไหว ที่สำคัญสุดคือ ถ้าสถาบันถูกคุกคามเราก็วางมือไม่ได้ พธม.จะสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเพราะมีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนมาแต่ต้น
         
อย่างไรก็ตาม "สุริยะใส" วิเคราะห์ว่าประเด็นเรื่องทักษิณกลับมาเรืองอำนาจนั้นคงแทบจะปิดประตูสนิทแล้ว เพราะการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาทักษิณทำลายตัวเองมาก ทั้งเรื่องเผาบ้านเผาเมืองก่อจลาจล ป่วนไม่หยุด จนสังคมไทยมีภูมิต้านทานเชื้อโรคนี้และรู้ทันทักษิณมากขึ้น ขณะที่ พท.เองก็คงไม่สามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวเบ็ดเสร็จได้ ดังนั้น ทั้งในและนอกสภาภูมิคุ้มกันระบอบทักษิณทำงานมากทีเดียว
         
"แต่สุดท้ายเราอาจได้ระบอบเนวิน (เน้นเสียง) ซึ่งเป็นกลุ่มนักการเมืองฉวยโอกาสกลุ่มใหม่ที่ใช้ทฤษฎีเหลืองแดงเผชิญหน้ากัน สร้างกระแสไม่เอาทั้งเหลืองและแดง ประกาศตัวเองเป็นสีน้ำเงิน เสแสร้งว่ากลาง แต่กลับเป็นฝ่ายเดียวที่ได้ประโยชน์ สถาปนากองกำลังขึ้นมายึดอำนาจรัฐ จนพี่น้อง พธม.ถามว่าระบอบทักษิณกับระบอบเนวินต่างกันตรงไหน น่ากลัวกว่ามั้ย หรือยังพออะลุ่มอล่วยได้ระบอบทักษิณทุจริตเชิงนโยบายกินรวบ ขณะที่ระบอบเนวินฮั้วโดยหมู่คณะ แต่มูลค่าเม็ดเงินไม่ต่างกัน อาจจะมากด้วยซ้ำ
        
 ...ดังนั้น ระบอบเนวิน ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย พธม.มากว่าจะต้องจัดการอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป พธม.และ กมม.ต้องทำงานให้หนักในการสร้างชาติสร้างประชาธิปไตยที่สังคมจะสมดุลมากที่สุด เพราะความขัดแย้งทางสังคมสลับซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่เอาหรือไม่เอาระบอบทักษิณเท่านั้น โดยเฉพาะในปีหน้าเชื่อว่าจะเป็นการต่อสู้ทางความคิดว่าเราจะอยู่กันในระบอบประชาธิปไตยแบบไหนเพราะอีกฝ่ายก็ผลักดันประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยประชาชนสู้กับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ผู้ประสานพธม.ระบุ
         
เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การเจาะพื้นที่ของ กมม.จะเน้นกลุ่มคนตรงกลางของสังคมที่ไม่ได้เป็นทั้งเหลืองและแดง เป็นคนที่ไม่ได้ค้าน พธม.ในการตั้งพรรค และยังไม่ได้เป็นพวก ปชป.เต็มตัว น่ามีอยู่ประมาณ 40% กมม.ต้องพิสูจน์ให้คนเห็นว่า เราไม่ใช่แค่พรรคของคนเสื้อเหลืองและเมื่อเป็นพรรคการเมืองก็ต้องคิดมากกว่าการจัดการทักษิณ แต่ต้องเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้สังคม โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
         
ขณะนี้พรรคกำลังทาบทามบุคคลต่างๆ เข้ามาร่วมงานอยู่ แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะการเมืองไทยไม่ดึงดูดให้คนดีๆ มาทำงานการเมือง กลัวเปลืองตัวหันหลังให้กับการเมืองส่วนความแข็งแกร่งของคนเสื้อแดงในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานนั้น ต้องโทษรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ทำการบ้านคิดแต่จะชิงกระแสทักษิณ แต่ไม่เสนอสิ่งใหม่ๆ ให้ชาวบ้านในพื้นที่ ดังนั้นเพื่อไทยคงได้ชัยชนะในพื้นที่ แต่คงไม่มากกว่าตอนนี้แล้ว

 

คนละมาตรฐาน

"สุริยะใส" ถือเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตา เขาบอกว่าการเข้ามาทำงานตรงนี้กลับทำให้เสียโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่ง คือการเรียนต่อปริญญาเอกในต่างประเทศตามที่เคยฝัน ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยฮาวายมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่เจ้าตัวสมัครไว้และมีโอกาสเดินทางไปดูมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งมาแล้วตอนช่วงปี 2548 ก่อนเกิดวิกฤตไล่ระบอบทักษิณในปี 2549 ทำให้ทุกอย่างสะดุดหมด
         
"หมดสิทธิเรียนเมืองนอกแล้ว เพราะมีคดีติดตัวถึง 16 คดีตั้งแต่คดีหมิ่นประมาทถึงคดีก่อการร้าย เรียกว่าได้รับโทษทุกประเภทในกฎหมายไทย ตอนนี้เดินทางไปต่างประเทศไม่ได้แล้ว"เขากล่าวด้วยน้ำเสียงรับสภาพ พลางว่า ตอนนี้ตั้งใจทำปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยรังสิตอยู่
         
ยิงคำถามว่า แกนนำเสื้อเหลืองอยู่ดีกว่าแกนนำเสื้อแดง เพราะส่วนหนึ่งถูกคุมขังคดีก่อการร้าย แต่คนเสื้อเหลืองยังไม่มีใครเข้าตะราง เป็นสองมาตรฐานอย่างที่พูดกันหรือไม่
         
สุริยะใส คิดนาน... "ผมไม่รู้" ก่อนขยายความว่า อยากบอกคนที่วิจารณ์เรื่องนี้ว่า ข้อเท็จจริงพวกผมก็โดนคดี ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะเข้ามาช่วย เอาเป็นว่าถ้าพูดกันตรงไปตรงมา พฤติกรรมการเคลื่อนไหวมันคนละมาตรฐานกัน สิ่งที่เสื้อแดงทำเมื่อเทียบกับพธม.มันหนักกว่ากันมาก เราไม่เคยใช้อาวุธมายิงเจ้าหน้าที่ แค่ยิงขึ้นฟ้าก็หนักแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเสื้อแดงไปยึดสนามบินวันนั้นสุวรรณภูมิจะเหลือหรือไม่ แต่ พธม.ชุมนุมไม่มีอะไรเสียหายเพราะ 3 ชั่วโมงหลังการสลายตัวสนามบินเปิดใช้ได้ทันที
         
ประเด็นสองมาตรฐานพูดทีไรก็จุดติดเมื่อนั้น เพราะมันเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากระหว่างคนรวยกับคนจน ที่สันดานรัฐราชการไทยจะปฏิบัติแตกต่างกัน แต่ถ้าจะโยงเรื่องนี้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองและเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย คนเสื้อแดงต้องดูด้วยว่า สิ่งที่ตัวเองทำมีมาตรฐานหรือไม่ ทั้งเรื่องแกนนำที่ไม่มีเอกภาพ มีการใช้ความรุนแรงมากมายพกพาอาวุธฆ่าเจ้าหน้าที่อย่างเปิดเผยจนเกิดเหตุการณ์ราชประสงค์ที่มีคนตาย 89 ศพที่แกนนำคนเสื้อแดงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ นี่คือมาตรฐานของคนเสื้อแดงที่ต่างกับ พธม.มาก ก็สมควรที่จะโดนกฎหมายคนละฐานความผิดกัน
         
"คนเสื้อแดงชอบพาดพิงว่า พธม.เส้นใหญ่ แต่เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะคนที่สนับสนุน เราเห็นว่า เราจงรักภักดีไม่เคยท้าตีท้าต่อยกับอำมาตย์ เหมือนที่คนเสื้อแดงทำ ไม่ว่าจะเป็นการเอาหินปาบ้าน ดูถูกเรื่องเพศสภาพ ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่นอย่างโหดเหี้ยม มาตรฐานแบบไหนล่ะที่ต้องทำร้ายคนอื่นแบบนี้ เมื่อคิดที่จะสร้างศัตรูก็ต้องคิดว่า สักวันอำมาตย์ก็จะมารบกับคุณบ้าง เพราะทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ไม่ว่าคนรวยคนจน คนข้างล่างหรือคนข้างบน ไพร่หรืออำมาตย์ เพราะมันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์"
         
"สุริยะใส" บอกว่า เราจงรักภักดีแบบมีจุดยืนไม่ใช่งมงาย เพราะไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือสถาบันใด ถ้าต้องปรับหรือปฏิรูปให้ดีขึ้นก็ต้องทำเพื่อให้ทันสมัยตลอดเวลา และเรื่องสองมาตรฐานสังคมไทยต้องช่วยกันแก้ไขด้วยการลดความเหลื่อมล้ำลงมาบ้าง ชนชั้นนำจะอยู่แบบเดิมไม่ได้ ตอนนี้กระแสปฏิรูปแรงมาก

      
เหลืองตั้งพรรค แดงจะกล้าไหม

หลังจากพลาดเรื่องเรียนปริญญาเอกในต่างประเทศไปแล้ว "สุริยะใส กตะศิลา"บอกว่าตอนที่ร่วมต่อสู้กับ พธม. ในปี 2549 ก็ไม่รู้ว่า หลักกิโลเมตรสุดท้ายอยู่ตรงไหน และไม่รู้ว่า5 ปีที่ต่อสู้กันมา ผ่านมาถึงครึ่งทางหรือยัง รู้แต่ว่าสงครามครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง และปวารณาตัวเองว่าจะต่อสู้กับพี่น้องต่อไป
         
สำหรับมุมเล็กๆ ในช่วงชีวิต หนุ่มใหญ่วัย 38 แอบเปิดเผยความลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า อีก2 ปีจะแต่งงานแล้วกับผู้หญิงนอกวงการ(การเมือง) เพราะเดิมทีตั้งใจไว้ว่าอายุ 40 จะได้ฤกษ์กับชีวิต อีกทั้งมีคนทักว่าถ้าจะทำงานการเมือง ก็ควรแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวเพราะต้องโชว์ครอบครัว ซึ่งถือว่าทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว
         
นั่นเป็นสีสันของนักเคลื่อนไหวที่เป็นมือใหม่ในเวทีการเมือง ย้อนกลับมาที่เรื่องหนักๆ อีกครั้งโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง"สุริยะใส" มองว่า เคลื่อนไหวคนละมาตรฐานกับ พธม. แต่เรื่องเสื้อแดงคงต้องผูกติดกับสังคมไทยไปตลอด เช่นเดียวกับเรื่องเสื้อเหลือง เพราะเสื้อแดงส่วนใหญ่ผูกกับความเป็นไปของทักษิณเว้นแต่ว่า วันหนึ่งจะมีแดงแท้ที่คิดเรื่องการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความเป็นธรรมในสังคมจริงๆ
         
มาถึงบรรทัดนี้ "สุริยะใส" บอกว่า อยากให้คนเสื้อแดงตั้งพรรคการเมือง เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อทักษิณ แต่สู้เพื่อความเป็นธรรมจริงๆ ใครที่เป็นแดงแท้ออกมาเลยปลดแอกจากทักษิณและพรรคเพื่อไทยให้ได้เหมือนกับ พธม.ที่ออกมาตั้งพรรคเอง ทั้งที่ พธม.เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือของ ปชป.แต่ตอนนี้ พธม.ก็รบกับประชาธิปัตย์ แต่เราไม่เคยเห็น นปช.รบกับเพื่อไทยตรงกันข้าม นปช.กลับทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์พรรคเพื่อไทยโดยไม่มีการตรวจสอบแม้แต่ครั้งเดียว หากเสื้อแดงยังเดินแบบนี้ต่อไปสุดท้ายก็จะถูกหลอกใช้เท่านั้น
         
ผู้ประสานงาน พธม. บอกว่า เชื่อว่าแดงแท้ในแดงทั้งหมดมีประมาณ 10% ที่เคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมจริง แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถจัดองค์กรของตัวเองได้ เพราะถูกปกคลุมไปด้วยคนที่เคลื่อนไหวเพื่อทักษิณถึง 90% รวมถึง"สมบัติ บุญงามอนงค์" หรือ บก.ลายจุด ที่เขามองว่าไม่ใช่ของแท้ แต่เป็นพวกสร้างกระแสแบบไม่ลงทุน คอยแต่หยิบชิ้นปลามันไปกินเพราะการเคลื่อนไหวของ "สมบัติ" ยังผูกกับ"จตุพร พรหมพันธุ์ " และ พท. อยู่ ดังนั้นถ้าจะเป็นแดงแท้ "สมบัติ" ต้องทำงานหนักกว่านี้
         
"ถ้าแดงแท้ประกาศปลดแอกจากทักษิณได้ตรงนี้อาจจะเป็นการเกิดใหม่ของ นปช. และสุดท้ายอาจโคจรไปจับมือกับ พธม.ก็ได้ ทั้ง 5 แกนนำ พธม.มีความคิดนี้เสมอ คุณสนธิก็เคยสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบว่าไม่เคยมองเสื้อแดงเป็นศัตรู ลุงจำลอง (ศรีเมือง) ก็พูดเช่นกัน หลายเรื่องคิดเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องสองมาตรฐานความไม่เป็นธรรม"
        
 เขาวิเคราะห์ว่า คนเสื้อแดงจะเติบโตไม่ได้ตราบใดที่เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยยังเป็นความสัมพันธ์ที่ขึ้นกับทักษิณ แม้ว่าจะชนะเลือกตั้งได้อำนาจรัฐก็ไม่สามารถปกครองได้ เพราะจะมีแรงต้านตามมาแน่นอน ทางที่ดีหากคิดจะเล่นเกมยาว ต้องทบทวนปลดแอกจากทักษิณ อย่าใช้ความรุนแรงจนเกิดราชประสงค์ 2 เพราะอำนาจรัฐไทยจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก จนทำให้เชื่อว่าสังคมการเมืองไทยยังไม่พ้นกระแสรัฐประหารที่มีโอกาสเกิดขึ้นตลอดเวลาการจัดการจะหนักกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อบานปลายแน่นอน

 

ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net