Skip to main content
sharethis

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุผลตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ยกคำร้องด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 เสียงเป็นโมฆะ เพราะองค์คณะพิจารณาคดีที่เหลือเพียง 6 คนไม่สามารถชี้ขาดได้ ย้ำกฎหมายกำหนดให้องค์คณะมี 15 หรือ 9 คน และต้องลงมติด้วยเสียงข้างมาก

ตั้งคำถามเหลือ 6 คนรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะได้เสียงข้างมากชี้ขาดได้ “อัษฎางค์” ระบุศาลหาช่องทางและวินิจฉัยได้เก่ง เตือนเสื้อแดงอย่าเคลื่อนไหวหากจะอยู่ในประเทศนี้ต้องเจียมตัว เพราะที่นี่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ “บัญญัติ” ยันไม่รู้ผลล่วงหน้าที่บอกมติ 4 ต่อ 2 แค่คาดเดา เล็งนำผลไปใช้สู้คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทต่อทีมทนาย เผยเตรียมยื่นเรื่องให้ถอนคดีเพราะขาดอายุความที่ต้องฟ้องภายใน 30 วัน “อภิสิทธิ์” ย้ำไม่ใช่ 2 มาตรฐานเพราะเป็นคนละกรณีกับคดีอื่น เพื่อไทยให้ฝ่ายกฎหมายหาช่องฟัน กกต. ยื่นฟ้องล่าช้า “สมชัย” ถามจะตัดสินแบบนี้เสียเวลาสืบพยานทำไมตั้งนาน ยอมรับ กกต. ต้องคุยกันเพื่อปรับการทำงานใหม่

หลังองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ตลก.) มีมติด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 เสียง ให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรค การเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ยื่นเรื่องให้พิจารณาภายใน 15 วัน หลังตรวจพบการทำความผิดตามข้อกำหนดของกฎหมาย (อ่านรายละเอียดคำตัดสินคดีที่หน้า 05A) ทำให้มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลในครั้งนี้


"องค์คณะ 6 คนตัดสินคดีไม่ได้"

นายจุมพล ณ สงขลา อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การที่องค์คณะพิจารณาคดีเหลือเพียง 6 คน ไม่น่าจะตัดสินคดีได้ เพราะเวลาที่จะตัดสินคดีต้องมีเสียงมากพอที่จะชี้ขาดได้

“การที่องค์คณะเหลือ 6 คน สามารถพิจารณาคดีได้แต่ตัดสินคดีไม่ได้ เพราะตามกฎหมายกำหนดให้องค์คณะมีจำนวน 15 หรือ 9 คน เพื่อให้สามารถใช้เสียงข้างมากในการตัดสินคดีได้ การเหลือ 6 คนไม่สามารถหาเสียงข้างมากได้ เพราะคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะหาเสียงข้างมากได้เมื่อยังไม่ฟังคำแถลงปิดคดี ยังไม่ได้พิจารณาคดี การเหลือองค์คณะเพียง 6 คนไม่สามารถมีเสียงชี้ขาดได้ หากพิจารณากันในแง่กฎหมายจริงๆการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องถือ เป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว


"ชี้นักกฎหมายเก่งจนน่ากลัว"

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ผลของคำตัดสินที่ออกมาทำให้เห็นว่านักกฎหมายในบ้านเมืองนี้เก่งจนน่ากลัว เพราะสามารถหาทางออกให้กับทุกสถานการณ์ได้ในทุกประเด็น นี่ขนาดยังไม่ถึงขั้นของการพิจารณาว่าถูกหรือผิด เพราะเขายังไม่ได้พิจารณาประเด็นนั้นเลย
 
"ชมศาลหาช่องทางตัดสินได้เก่ง"

“ศาลรัฐธรรมนูญหาช่องทางและวินิจฉัยได้เก่ง เรื่องนี้ต้องรอดูความคิดของผู้คนในสังคมต่อไปว่าจะมองกันอย่างไร แต่ผมรู้สึกเฉยๆกับคำตัดสิน เพราะในฐานะที่เป็นนักรัฐศาสตร์เข้าใจสภาพสังคมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐ ประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นอย่างดีแต่พูดมากไม่ได้ เอาเป็นว่าผมเข้าใจลักษณะการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จดี”

รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า การจะอยู่อาศัยในประเทศนี้พวกเราต้องอยู่อย่างเจียมตัว ใครไม่มีเส้น ไม่มีพรรคพวกต้องระวังหมด ประเทศนี้ไม่ใช่เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะมีการใช้กฎหมายควบคุมกำกับไม่ให้คนที่เป็นศัตรูทางการเมืองโผล่ได้เลย

"รัฐบาลอยู่ได้ถึงต้นปีหน้า "

รศ.อัษฎางค์กล่าวอีกว่า หลังจากนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบและได้ประโยชน์ แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์คิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะลากยาวถึงครบเทอมได้ เพราะถ้ารัฐบาลอยู่นานอาจมีปัญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอาจตัดสินใจยุบสภาในเดือน ก.พ. ปีหน้าแล้วให้มีการเลือกตั้งในเดือน มี.ค. ซึ่งเขาอาจได้กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้อาจอยู่ยาวถึง 4 ปีเลย
 

"เตือนเสื้อแดงให้อยู่อย่างเจียมตัว"

ผู้สื่อข่าวถามว่าผลการตัดสินออกมาอย่างนี้จะทำให้สถานการณ์บ้านเมือง รุนแรงขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจคำตัดสิน รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า คนเสื้อแดงควรเก็บไว้ใต้ดินดีกว่า ไม่ควรออกมาเคลื่อนไหวอะไรช่วงนี้ ยกเว้นรอให้ถึงวันเลือกตั้งค่อยออกมา ขอย้ำว่าคนเสื้อแดงควรอยู่อย่างสงบ นิ่งๆ และยอมรับโดยดุษฎี ไม่ต่อต้าน ไม่แสดงความเห็น ถ้าหากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง เล่นการเมืองเป็นก็ต้องนิ่งไว้ก่อน


"ผลตัดสินไม่เหนือความคาดหมาย"

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผลของคดีที่ออกมาไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมาย แต่ติดใจตรงที่ผู้ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็น เรื่องเงื่อนเวลา แต่การตัดสินกลับออกมาในประเด็นนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าคำตัดสินจะมีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดี น่าจะได้รับสัญญาณพิเศษ เพราะสามารถพูดมติล่วงหน้าได้แม่นยำว่าจะออกมา 4 ต่อ 2

"ถามทำไมไม่ยกคำร้องตั้งแต่ต้น"

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ในฐานะที่ติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้นมีความเห็นต่างจากคำตัดสินหลายประเด็นดัง นี้

     1.การยกเรื่องอายุความขึ้นมาโดยไม่ได้วินิจฉัยความถูกผิดตามคำร้อง มีคำถามว่าทำไมไม่พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่ยื่นฟ้อง เพราะคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองบรรยายละเอียดอยู่แล้ว

     2.เมื่อไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทำไมต้องเสียเวลาในการสืบพยานฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องนานหลายเดือน

 "เพื่อไทยหาช่องเอาผิด กกต. ฟ้องช้า"

“เรื่องประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นเรื่องล่าช้าเกินกว่ากฎหมายกำหนด ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร”นายพร้อมพงศ์ตั้งคำถาม

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่ามติของศาลจะออกมา 4 ต่อ 2 ที่ตอบคำถามสื่อไปเป็นการคาดเดาเพื่อให้มองในแง่ดีว่าจะไม่เกิดปัญหาจากคำ ตัดสินเท่านั้น ส่วนคดียุบพรรคจากกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้นเป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับคดี 29 ล้านบาท เพราะว่าพยานในคดีเป็นชุดเดียวกัน คงต้องไปดูว่าอัยการยื่นฟ้องเมื่อไร จะขาดอายุความเหมือนคดี 29 ล้านบาทหรือไม่


“มาร์ค” รอดูปฏิกิริยาจากสังคม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีจบแล้ว ต่อไปจะมุ่งทำงานแก้ปัญหาบ้านเมืองในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ส่วนสถานการณ์จากนี้จะเป็นอย่างไรอยู่ที่ปฏิกิริยาจากกลุ่มต่างๆในสังคม แต่ส่วนตัวได้บอกก่อนหน้านี้แล้วว่าขอให้ทุกคนยอมรับคำตัดสินไม่ว่าจะออกมา อย่างไร เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

"ย้ำไม่ใช่เรื่อง 2 มาตรฐาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าผลการตัดสินจะดีต่อคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ ต้องรอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยที่จะออกมาก่อนเพราะเป็นคนละคดีกัน ส่วนข้อวิจารณ์เรื่อง 2 มาตรฐานก็อยากให้ไปดูคำวินิจฉัยของศาล และอยากย้ำว่า 2 มาตรฐานหมายถึงกรณีเดียวกันแต่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน แต่คดีนี้หากดูจากคำแถลงปิดคดีของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคและหัวหน้าทีมทนาย จะเห็นว่ามีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นก่อนหน้านี้


"เตรียมยื่นถอนคดีเงินบริจาค 258 ล้าน"

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวว่า จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญถอนการพิจารณาคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะน่าจะขาดอายุความแล้วเนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นฟ้องภายใน 30 วันหลังตรวจพบ เพราะคดีนี้เกิดตั้งแต่ปี 2552


"กกต. งงเสียเวลาสืบพยานทำไมตั้งนาน"

นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเสียเวลาสืบพยานทั้งสอง ฝ่ายทำไมตั้งนาน การยกคำร้องทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำ ฟ้องหรือไม่  “เมื่อผลออกมาอย่างนี้ กกต. ต้องไปปรึกษาหารือกันเพื่อปรับการทำงาน”

 

 

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net