Skip to main content
sharethis

พลันที่ (ยืมสำนวนพี่เถียน) อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ขึ้นมารักษาการตำแหน่งประธาน นปช. เธอก็ได้รับของขวัญเป็นหม้อก้นดำเต็มหน้าจากบรรดาสื่อเครือข่ายพันธมิตรและ ปชป. ว่า นี่คือฮาร์ดคอร์ตัวจริง ผู้อยู่หลังฉาก อดีตสหายซ้ายจัด “ล้มเจ้า” ฯลฯ

มิพักที่เธอจะประกาศจุดยืนในการเคลื่อนไหวว่า ไม่แตะต้องสถาบัน ไม่ชุมนุมยืดเยื้อสร้างเงื่อนไข และมีเป้าหมายเฉพาะกิจเพื่อให้แกนนำและมวลชนเสื้อแดงได้รับการประกันตัวเท่านั้น

ผมไม่เคยเจออาจารย์ธิดามาเกือบ 30 ปี ตั้งแต่สมัยยังเป็น “สหายปูน” (อยู่เขตผมเธอใช้ชื่อ “หมอป่าน”) ฉะนั้นก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าเธอคิดอย่างไร แต่อ่านบทสัมภาษณ์หลายๆ ชิ้น ก็ไม่เห็นว่าเธอจะเป็น “ฮาร์ดคอร์”

แน่นอน ความคิดลึกๆ เป้าหมายจริงๆ เป็นอย่างไร ไม่มีใครพูดเปิดเผยหรอก แต่อย่างน้อย อาจารย์ธิดาก็ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ทั้งในเมือง ทั้งในป่า ผ่านมาวันนี้จนอายุ 60

ต่อให้เป็นคนใจร้อนเพียงไร หรือต่อให้ยังคิดว่าจะต้องเอาชนะด้วยความรุนแรง ก็ไม่ใช่พวกมุทะลุหรือหมูไม่กลัวน้ำร้อน คิดแต่จะลุกฮือพาคนไปตายเพื่อ “ปฏิวัติประชาชน” ให้สำเร็จในวันสองวันนี้

นี่ไม่ใช่เข้าข้างกัน เพราะผมมองอย่างนี้กับแกนนำพันธมิตรด้วย พันธมิตรถึงจะบุกทำเนียบยึดสนามบิน เขาก็รู้จัก step ไม่เหมือนพวกมือใหม่หัดขับ ขับได้ซักพักมักคึกคะนอง อย่างพี่กี้ร์ แรมโบ้ หรือพาย่อยยับ ซึ่งไม่เคยขับเคลื่อนม็อบมาก่อน

ถ้าจะห่วงเรื่อง “ฮาร์ดคอร์” ประเด็นสำคัญกว่าตัวผู้นำ คือความคิดและอารมณ์ของมวลชนเสื้อแดง ตลอดจนแกนนำระดับกลางต่างหาก ซึ่งวันนี้คนเหล่านี้กลายเป็น “แกนนอน” ไปแล้ว คืออยู่ในสภาพที่ไม่มีการจัดตั้ง ไม่ขึ้นต่อแกนนำมา 6 เดือน ติดต่อกันเองในแนวนอน “หนูหริ่ง” หรือใครก็ได้ นัดชุมนุมเคลื่อนไหว “เชิงสัญลักษณ์” ที่ไหน คนเหล่านี้ก็ไป ถือป้าย ตะโกน ขีดเขียนถ้อยคำที่ทำให้ต้องมีคำสั่ง ศอฉ. กระนั้น ครั้งล่าสุดที่ราชประสงค์ก็ยังมีคนไปชุมนุมร่วมหมื่นกว่า

มวลชนเสื้อแดงพิสูจน์แล้วว่าเป็นพลังที่ไม่ตายง่ายๆ ยิ่งถูกปราบยิ่งเคียดแค้นยิ่งแสดงพลังตอบโต้ ขณะเดียวกัน มวลชนเสื้อแดงยังก้าวข้ามทักษิณ ก้าวข้ามพรรคเพื่อไทย หลายคนเล่าว่าทักษิณโฟนอินที่อุดรให้ “ปรองดอง” ลืมความเจ็บปวด โดนมวลชนด่าพึมอยู่ด้านล่างเวที เพราะพวกเขา “ไม่ปรองดอง” กับคนที่สั่งฆ่าประชาชน

แต่พูดเช่นนี้ใช่จะมีแต่ด้านดี เพราะขณะที่ก้าวข้ามทักษิณ ก้าวข้าม ส.ส.น้ำเน่าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องพูดกันตรงๆว่า กลุ่มคนที่มีอิทธิพลความคิดและอุดมการณ์ต่อมวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยในช่วงที่ไร้แกนนำ ในช่วงถูกปราบปราม กวาดจับ คับแค้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กลับกลายเป็นข้อมูลข่าวสาร บทความ ซีดี ที่เผยแพร่ให้ดาวน์โหลดอัพโหลดกันกว้างขวางอยู่ “ใต้ดิน”

โทษที ที่ต้องบอกตรงๆ ว่า ชาวบ้านเสื้อแดงในภาคเหนือภาคอีสานน่ะ เขาไม่อ่านประชาไทหรือฟ้าเดียวกันหรอกครับ ไหนๆ เว็บก็ถูกบล็อกเหมือนกัน ข้ามไปอ่านข้อเขียนมันส์สะใจที่ส่งตรงมาจาก USA ดีกว่า ไอ้ฝั่งนี้จะบอกให้สันติๆ ยังไง เขาก็ไม่ได้ยินหรอก อารมณ์ความรู้สึกเขาคล้อยตามทางโน้นมากกว่า

พูดง่ายๆ ว่า ในฝ่ายผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยวันนี้ ซึ่งผมนับรวมทั้งฝ่ายสองไม่เอาและเสื้อแดง มีการต่อสู้ 2 แนวทาง ระหว่างแนวทางสันติ ที่ตั้งความหวังว่า สังคมไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ใน “มิติใหม่” โดยไม่นองเลือด โดยบ้านเมืองไม่ฉิบหายวายป่วง กับแนวทาง “ฮาร์ดคอร์” ซึ่ง... ก็ไม่ถึงขนาดนั้นซะทั้งหมดทีเดียว เพราะมีหลายเฉด หลายระดับ แต่น่าวิตกว่าพร้อมจะบานปลายได้

โดยสภาพการณ์ขณะนี้ แนวทางสันติไม่สามารถเข้าถึงมวลชนได้เท่าแนวทางหลัง

เขียนมาถึงตรงนี้ก็ขอบอกว่า ผมตั้งใจอยากสื่อถึงผู้มีอำนาจ ไม่ว่าอำมาตย์ ทหาร ตุลาการ โดยเฉพาะผู้จงรักภักดีตัวจริง (ไม่ใช่พูดแต่ปาก) ที่มีสติ มีปัญญา

วันก่อนผมคุยกับเพื่อนที่ใกล้ชิดและเข้าใจทหาร เขาบอกว่า ทหารจำนวนไม่น้อยก็เข้าใจสถานการณ์ ไม่ใช่พวกบ้าคลั่งขวาจัด คิดแต่จะไล่จับปราบฆ่าเสื้อแดง เพราะรู้ดีว่ายิ่งทำก็เหมือนยิ่งยุ

ยกตัวอย่าง มวลชนเสื้อแดงมีเป็นร้อยๆ ที่ขีดเขียน ชูป้าย ข้อความ “หมิ่นเหม่” แต่เขาจับแค่ 1-2 ราย เพราะต้องการ “ปราม” ให้เพลาๆ พฤติกรรมลงบ้าง และถ้าไม่จับก็ไม่มีคำตอบให้อีกข้างที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เขายังตั้งคำถามด้วยว่าแล้วจะให้ทหารวางตัวอย่างไรในสภาพเช่นนี้ ช่วยแนะนำหน่อยสิ

เขายังบอกว่า ทหารจำนวนไม่น้อย หรือแม้แต่อำมาตย์บางราย ก็เข้าใจเช่นกันว่า สังคมไทยจะต้องพัฒนาไปสู่ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่มีสมดุลแห่งอำนาจ เปิดกว้างมีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาคเท่าเทียมมากขึ้น แต่ในสภาพปัจจุบันคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะขยับอะไรได้มากนัก

จนกว่า... จนกว่า... จนกว่าอะไรล่ะ ผมเลยบอกว่า ถ้ารอจนถึงตอนนั้นมันก็นองเลือดพินาศย่อยยับสิครับ

ผมอนุมานว่า นี่คือทหารสายพิราบ ฝ่ายความมั่นคงที่มีสติปัญญา แม้ความคิดจะยังติดกรอบเป็นขวา แต่พวกนี้ก็ไม่ได้โง่ รู้ดีว่าถ้าแข็งขืนครอบอำนาจก็จะมีพลังต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกนี้ก็ไม่กล้าปริปากและยังหาทางลงไม่เจอ ได้แต่พยายามประคองสถานการณ์อยู่

สิ่งที่ผมอยากบอกคือ ถ้า “สายพิราบ” ในฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่สามารถส่งสัญญาณหรือแสดงท่าทีให้เห็นว่าพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ “สมดุลแห่งอำนาจ” ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก็คือ “สายฮาร์ดคอร์” ในเสื้อแดง ก็จะยิ่งมีอิทธิพลทางความคิดและอุดมการณ์ โดยที่ “สายสันติ” พูดไปก็เท่านั้น

ทำอย่างไรที่คุณจะเปิดพื้นที่ให้สายสันติวิธีได้พูดอย่างเต็มปากบ้าง โธ่ ขนาดผมเขียนอยู่นี่ยังต้องระมัดระวังใช้สัญลักษณ์ ขณะที่พวกฮาร์ดคอร์เขาใส่กันเต็มที่ ล่อกันเต็มเหนี่ยว ไฟล์ภาพไฟล์เสียงสะใจ เพราะยังไงๆ ก็เผยแพร่ใต้ดินอยู่แล้ว

ยิ่งกว่านั้น การใช้อำนาจ ไม่ว่าอำนาจ ศอฉ. อำนาจตุลาการ หรือการเลือกปฏิบัติต่างๆ ที่ทำให้มวลชนโกรธแค้น ผมขึ้นแท็กซี่ ผมขึ้นมอไซค์รับจ้าง หยั่งเสียงดู ไม่มีชิ้นดี อีหรอบนี้จะไปพูดสันติวิธีให้เขาเชื่อได้ไง

สัจธรรมคือเมื่อเหยี่ยวผงาด ฮาร์ดคอร์ก็ตีปีก สันติวิธีกับนกพิราบลงหม้อตุ๋น อิหร่านก่อนหน้านี้เริ่มเปลี่ยนแปลงจนพวกมุสลิมสายกลางมีอำนาจ แต่พออเมริกาบุกอิรัก อามาห์ดิเนจาดก็ชนะเลือกตั้งท่วมท้น

ฉันใดฉันนั้นละครับ หลังพฤษภาอำมหิต ฮาร์ดคอร์ก็มีอิทธิพลทางความคิดต่อเสื้อแดง จะปราบ จับ คุมขัง ยิ่งมีแต่แพร่กระจายเหมือนไฟลามทุ่ง คุณไม่มีทางกวาดจับหรือเข่นฆ่าคนที่ “หมิ่นเหม่” ต่อคำสั่ง ศอฉ.ได้หมดประเทศไทย มีแต่ใช้สติปัญญาคิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ภายใต้ความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยรักษาสิ่งสำคัญของคุณไว้ได้

คุณจะเป็นฝ่ายเริ่มการเปลี่ยนแปลง กำหนดกรอบการเปลี่ยนแปลง หรือปล่อยให้มันเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ รุนแรง แต่ถึงวันนี้ ที่คิดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ที่คิดว่าจะให้คนกลับมาศิโรราบสวามิภักดิ์นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว มีแต่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไรโดยไม่ต้องให้ศิโรราบสวามิภักดิ์ แค่ยอมรับการแบ่งแยกกำหนดบทบาทกันก็พอ

บางคนอาจจะคิดเหมือน 6 ตุลา ปราบ ฆ่า ไล่เข้าป่า ให้มันเลือกวิธีรุนแรง ต่อสู้ด้วยอาวุธ ด้วยการจลาจล แล้วสุดท้ายไปไม่รอด ก็ต้องยอมจำนน แล้วค่อยแปลงร่างเป็นพิราบ เล่นบทโปรดสัตว์ แต่โทษที สถานการณ์ไม่เหมือนกันนะครับ พลังต่อต้านมันกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 6 ตุลาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะแพ้ แต่ใครชนะก็ฉิบหายวายป่วง

สถานการณ์จากนี้ไป ยังพอมีเวลาอีกช่วงหนึ่ง ที่จะต้องมีการต่อสู้ทางความคิดกันระหว่างเหยี่ยวกับพิราบ ระหว่างฮาร์ดคอร์กับสันติวิธี ซึ่งในทั้งสองขั้วต่างก็มีปฏิกิริยาส่งผลต่อกัน โดยเราต้องเรียกร้องขั้วที่มีอำนาจเป็นด้านหลัก ถ้าสายพิราบมีพลัง ก็สามารถเปิดพื้นที่ให้สายสันติ แต่ถ้าเป็นตรงข้าม จะเอาใครมานำ นปช.ก็ไม่ต่างกัน จับเข้าคุกรุ่น 2 รุ่น 3 รุ่นไหนก็ไม่จบ

ในฝ่าย นปช.เอง ก็ต้องต่อสู้ทางความคิด หวังว่าอาจารย์ธิดาจะมุ่งไปที่การต่อสู้ทางความคิด ผมเห็นภาพชมรมเรารักเบอเกอร์คิงแล้วอดหัวเราะไม่ได้ น่ารักดี มวลชนก็เป็นอย่างนี้ พวกจารีตนิยมอย่าถือสาหาความนัก คนเราเวลาเริ่มมองโลกในแง่มุมใหม่ก็จะร้อนแรง หลังจากนั้นก็จะเย็นลงและมองกว้างขึ้น แต่ต้องมีคำตอบที่เหมาะสมให้เขา ขณะที่ในฝ่าย นปช.เอง ที่มักพูดว่า “มวลชนไปไกลแล้ว” จริงๆ แล้วก็ไปไกลแค่เรื่องนี้ ส่วนที่ว่าเราจะพัฒนาประชาธิปไตยอย่างไร ประเทศไทยควรจะเดินต่อไปอย่างไร นอกจากความสะใจแล้วก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจน

ขอเรียนย้ำอีกครั้งสำหรับข้อเขียนวันนี้ ว่าผมไม่ได้ห่วง “ใคร” แต่ผมกลัวว่ามันจะไปสู่ทางตันที่มีแต่ความพินาศ

กระนั้น ขณะที่เขียนนี้ ผมก็ยังเชื่อว่า มันจะไปสู่ทางตันที่มีแต่ความพินาศ เพียงแต่อยากทักท้วงอีกซักครั้ง

และขอออกตัวด้วยว่า ผมไม่ได้เป็นสายสันติวิธีเคร่งครัด บางทีก็มีลูกบ้ามีอารมณ์ตามประสามนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่เวลามีสติยับยั้งตัวเองได้ก็พยายามจะสันติ ส่วนวันหน้าอะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด

 

                                                                                                              ใบตองแห้ง
                                                                                                                 8 ธ.ค.53

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net