อัปลักษณะของพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 : กรณี Insects in the backyard
วันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมาในเวลาเดียวกันกับงานสัมมนา "สถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย" ที่จัดโดยนิติราษฎร์ คนในแวดวงภาพยตร์ก็จัดงานเสวนาเชิงวิชาการเรื่อง "พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์กับรัฐธรรมนูญไทย" ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา โดยมีปฐมเหตุมาจากภาพยนตร์สั้นเรื่อง Insects in the backyard ของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ถูกคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ของกระทรวงวัฒนธรรม สั่งห้ามฉายในราชอาณาจักรไทย ด้วยเหตุผล “มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน” จนเกิดกระแสประท้วงคัดค้าน โปรแกรมเดิมของงาน คือ การฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแก่ผู้เข้าร่วมเสวนา ในฐานะ "วัตถุแห่งการศึกษา" เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาและแสดงความคิดเห็นว่า การใช้ดุลยพินิจโดยคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ มีเหตุผลและความชอบธรรมเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มงานเพียงวันเดียว กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีหนังสือประทับตรา "ด่วนที่สุด" ถึงผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ เพื่อเตือนว่าหากนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมาฉายในงานเสวนา ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ภาพยนตร์ฯ มีโทษตามกฎหมาย ส่งผลให้ท้ายที่สุด การเสวนาต้องดำเนินไปโดยปราศจาก "วัตถุแห่งการศึกษา" ... |
|
ก่อนเริ่มงานเสวนาผู้จัดจึงจัดงานฌาปนกิจศพให้ Insects in the backyard เสียเลย เพราะคำสั่งห้ามฉายภาพยนตร์นั้นมีผลเสมือนหนึ่งคนที่ถูกลงโทษประหารชีวิต
อันที่จริงแล้ว กิจกรรมนี้ต้องถือว่ายังทำไม่ครบถ้วน เพราะควรจัดงานณาปนกิจให้ประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ รวมทั้งรัฐธรรมนูญไปเสียในคราวเดียวกัน ซึ่งวันที่ 10 ธันวาคม อันเป็นวันที่คนไทยถูกทำให้ลืมวันที่ 27 มิถุนายน วันแรกของการมีรัฐธรรมนูญของประชาชนโดยแท้จริง น่าจะเหมาะสมที่สุดต่อกิจกรรมเช่นว่า ด้วยหลากหลายเหตุการณ์ในบ้านเมืองที่ผ่านมา แสดงให้ประจักษ์แล้วว่าการอวดโชว์ว่ามี "รัฐธรรมนูญ" ในการปกครอง ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และใช้กฎหมายเป็นใหญ่ เพราะสุดท้าย "ใครต่อใคร" ก็มักเป็นใหญ่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญได้เสมอ ๆ "ใคร" ในที่นี้ไม่ว่าจะเป็น "ใคร" ในหัวข้อของวงเสวนาที่ธรรมศาสตร์หรือว่าศาลายา |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนไทยไว้ 2 ประเภท คือ สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งควรต้องทราบด้วยว่าสิทธิสองประเภทนี้จำเป็นต้องมาด้วยกันเสมอ เพราะหากรัฐยอมให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ แต่ไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนั้น การรับรู้นั้นย่อมเป็นอันไร้ความหมาย "ผู้ส่งสาร" จะกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือและทรงอิทธิพลทันที เพราะเมื่อสารถูกส่งออกไปแล้วประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ หรือหากจะฝืนวิพากษ์วิจารณ์ก็อาจได้รับผลร้ายบางประการ และในประเทศไทยนี้การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบางเรื่อง มีบทลงโทษจำคุกได้หลายปีอย่างเหลือเชื่อ หรือมิเช่นนั้น ก็อาจเกิดปรากฎการณ์เหมารวมโดยรัฐว่าประชาชนทุกคนเชื่อถือหรือจงรักศรัทธา "สิ่งนั้น สิ่งนี้" เหมือน ๆ กันไปหมด ทำนองเดียวกัน หากรัฐรับรองให้แสดงความคิดเห็นได้ แต่ปิดกั้นไม่ให้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร การแสดงความคิดเห็นย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะประชาชนขาดข้อมูลหรือกระทั่งไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นต่อ "อะไร" ฉะนั้น ประเทศใดในโลกนี้ที่รับรองสิทธิไว้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ อ้างใช้ตามสถานกาณณ์และความสะดวกของพวกพ้อง จึงไม่ควรบอกว่าตนเป็นประชาธิปไตย เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับงานเสวนาภาพยนตร์นี้ รัฐให้จัดงานเสวนาเพื่อแสดงความคิดเห็นได้ แต่ห้ามไม่ให้รับรู้ข้อมูล หรือตัววัตถุแห่งการแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง หรืออย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน มีกฎหมายหลายฉบับที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมเนื้อหาในสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ฯ พ.ร.บ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ฯ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ฯ รวมทั้งประมวลกฎหมายแพ่ง หรือประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาทบุคคลอื่น แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ทั้งผู้บังคับใช้กฎหมาย และผู้ถูกกฎหมายใช้บังคับ ต้องแยกแยะระหว่างโทษของผู้กระทำ กับการใช้มาตรการจำกัดเสรีภาพโดยรัฐออกจากกันให้ดี ๆ ทั้งนี้เพราะหากในที่สุดแล้ว เนื้อหาที่เผยแพร่เหล่านั้นเป็นความผิด ผู้เผยแพร่หรือผลิตย่อมต้องเกิดความรับผิดตามกฎหมาย แต่รัฐจะยังไม่สามารถปิดกั้นเนื้อหาใด ๆ ได้โดยอัตโนมัติ เว้นแต่มีกฎหมายเขียนระบุมาตรการเช่นว่านั้นไว้ด้วยอย่างชัดเจน ซึ่ง ณ วันนี้หากประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปกติคงมีเพียง พระราชบัญญัติว่าด้วยกการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551 เท่านั้น ที่เขียนให้อำนาจรัฐในการปิดกั้น หรือห้ามเผยแพร่เนื้อหาบางประเภท ได้ทันทีโดยที่ยังไม่ต้องมีการดำเนินคดีกับบุคคลใดก่อน
กล่าวสำหรับกรณีของการห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง Insects in the backyard มีเรื่องที่สมควรพิจารณา 2 ประเด็น คือ
1) ถ้าคนไทยยอมรับว่าการจัดเรตตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 เป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมแล้ว เท่ากับคนไทยยอมรับว่า หากภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งมีเนื้อหาที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน (ซึ่งเป็นเหตุผลของการห้ามฉาย Insects in the backyard) คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ ฯ ย่อมสามารถห้ามฉายในราชอาณาจักรได้ตามกฎหมาย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาในข้อนี้ ก็คือ ถ้าเช่นนั้น Insects in the backyard เป็นภาพยนตร์ที่ "ขัดต่อศีลธรรม" จริงหรือไม่ ? (น่าเสียดาย ที่ท้ายที่สุดมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่ได้ดู และสามารถแสดงความคิดเห็นต่อปัญหานี้ได้) เนื่องจากผู้เขียนมีโอกาสได้ดู พบว่า Insects in the backyard เกือบทั้งเรื่อง นำเสนอฉาก และเรื่องราวที่อาจมิได้สอดคล้องกับศีลธรรมอันดี (ในสายตาของรัฐหรือของคณะกรรมการฯ) ไม่ว่าจะเป็นฉากนักเรียนกินเหล้า สูบบุหรี่ ฉากการร่วมเพศของต่างเพศและเพศเดียวกัน การขายบริการทางเพศ ฯลฯ แต่คำถามก็คือ การนำเสนอฉากเหล่านี้ในลักษณะจำลองภาพ หรือสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างตรงไปตรงมาถือว่า "ขัดต่อศีลธรรม" ได้กระนั้นหรือ ?
ภาพยนตร์ ถือเป็น สื่อ ประเภทหนึ่ง ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครอง หรือถูกจำกัดการนำเสนอได้ตามมาตรา 45 รัฐธรรมนูญอย่างมิต้องสงสัย แต่ต้องไม่ลืมว่า ภาพยนตร์ (รวมทั้งศิลปะแขนงอื่น) มีความแตกต่างจากการสื่อสารมวลชน อย่างสำคัญข้อหนึ่ง คือ ในขณะที่การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อสารมวลชน คือการนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามลักษณะวิชาชีพ การบิดเบือนหรือกระทั่งทำให้มีการตีความได้จนเกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น หรือต่อสังคมโดยรวม จึงไม่ควรเกิดขึ้นได้เลยในความคาดหวังของผู้รับสื่อ ภาพยตร์หรือศิลปะแขนงอื่น จะมีลักษณะการนำเสนอเชิงจินตนาการเพื่อให้ผู้ชมตีความได้เองมากกว่า สื่อ "ภาพยนตร์" ไม่ได้หรือไม่จำเป็นต้องถูกคาดหมายจากคนดูหรือแม้แต่สังคมโดยรวมว่า ต้องนำเสนอเรื่องจริงเท่านั้น ส่วนใหญ่จึงมักเป็นการเสนอภาพต่าง ๆ ด้วยวิธีการ มุมมอง และอารมณ์ความรู้สึกของตัวผู้ผลิต หรือผู้สร้างเอง นอกจากนี้ ยังไม่เคยหรือไม่ควรมีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่กำหนดว่า ภาพยนตร์ต้องเสนอเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมเกิดความเพลิดเพลิน จำเริญใจ สุขสม หรือส่งเสริมคุณธรรมเพียงแต่อย่างเดียว แต่สามารถเสนอแง่มุมที่โหดร้ายของสังคม ตีแผ่ความจริง หรือเรื่องราวที่หลากหลายมีทั้งดีและไม่ดี มันจึงเป็นสื่อที่ทำได้หลากหลายหน้าที่ อนึ่ง แม้ศีลธรรมจริยธรรมจะยังเป็นเรื่องจำเป็น และถือเป็นอุดมคติในทุก ๆ สังคม แต่ ทุก ๆ สังคมนั้น ก็ควรต้องยอมรับด้วยว่า การอบรม บ่มนิสัย หรือขัดเกลาคนให้เป็นคนดีมีจริยธรรมศีลธรรมไม่ใช่ภาระหน้าที่ของ "ภาพยนตร์" แต่เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาร์อาจารย์ที่จะให้คำแนะนำกับผู้อยู่ในการปกครอง หรือบุตรผู้เยาว์ ต่างหาก แน่นอนที่ว่า ภาพยนตร์เรื่องใดมีลักษณะเชิญชวนให้คนทำสิ่งผิดกฎหมาย ทำลายจารีตของสังคม ภาพยนตร์นั้นอาจเข้าข่ายมีปัญหา แต่หากภาพยนตร์นั้นเพียงชี้หรือแสดงให้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในสังคมหนึ่ง ๆ (ดีหรือไม่ดีนั่นอีกเรื่อง แล้วแต่คนดูจะตัดสิน) อย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การ "มองเห็น" ปัญหาแล้วหันหน้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา ภาพยนตร์ลักษณะนี้จะ "ขัดต่อศีลธรรม" ได้อย่างไร ? คนดู Insects in the backyard ไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเองหรือว่า ตัวเอกสามตัวล้วนมีปัญหากับชีวิตบางอย่าง มีทุกข์ มีสุข กับสิ่งที่เขาเลือกทำ ผู้สร้างอาจไม่ได้ทำหนังออกมาในเชิงตำหนิติเตียนพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาเพื่อบอกกล่าวคนดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งดี หรือควรทำ
2) ถ้าคนไทยไม่ (หรือไม่ควร) ยอมรับว่า วิธีการกำหนดเรตตามพ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ เป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสม นั่นย่อมแสดงว่า ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเรื่องใด แม้มีฉากหรือเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกับศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่ภาพยนตร์เรื่องนั้น ก็ไม่อาจถูกห้ามฉายในราชอาณาจักรได้เลย กล่าวให้ง่าย ก็คือ หากยึดถือหลักการของระบบการให้เรตติ้งอย่างจริงจังแล้ว การแบนหนัง หรือการไม่อนุญาตให้ฉายทั้งเรื่อง จีงเป็นเรื่องไม่ควรเกิดขึ้นได้เลย
การปรากฎตัวของ "ระดับความเหมาะสม" (Rating) ประเภท "ภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร" ตามมาตรา 26 (7) พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551 ควรถือเป็นสิ่งแปลกปลอมและพิลึกพิลั่นที่สุดในระบบของการจัดเรตติ้ง และการแบน Insects in the backyard ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับสังคมไทยมากไปกว่ายืนยันว่าแท้จริงแล้ว พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 ที่อ้างว่าปรับปรุงแก้ไขแล้ว ยังคงใช้การ "เซ็นเซอร์" โดยปล่อยให้เป็นอำนาจของคนเพียงไม่กี่คนอยู่เช่นเดิม ซึ่งหากคนไทยมองเห็นปัญหาร่วมกัน และคิดได้แบบนี้ สิ่งที่ต้องช่วยกันหาคำตอบในงานเสวนาเรื่อง พ.ร.บ.ภาพยนตร์กับรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงไม่ใช่ปัญหาว่า Insects in the backyard "ขัดศีลธรรม" หรือไม่ ? หรือการตัดสินใจของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ? แต่ต้องช่วยการขบปัญหาว่า พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ 2551 ควรถูกแก้ไขอย่างไร ? ปัญหาว่าในที่สุดแล้วเรตห้ามฉายควรยังมีอยู่ในกฎหมายหรือไม่ ? กระทั่งปัญหาที่ว่าเอาเข้าจริงแล้วกฎหมายฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ ? เพราะต่อให้ Insects in the backyard มีฉากหนึ่งฉากใด หรือทั้งเรื่องมีฉากโป๊ะเปลือย การร่วมเพศ ใช้ยาเสพติด ความรุนแรง ฯลฯ หนังเรื่องนี้ก็ยังต้อง "ได้เผยแพร่" หรือฉายในราชอาณาจักรอยู่ดี เพียงแต่ถูกจัดให้อยู่ในเรตที่คนอายุที่เหมาะสมเท่านั้นที่ดูได้
ภายหลังได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เมื่อนำมาประกอบกับอัปลักษณะของ พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ฯ ประสานกับข้อมูลที่เกี่ยวกับแนวโน้มของการพิจารณาภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมาภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งมักอ่อนไหวอย่างมากกับประเด็น "เพศที่สาม" ยังได้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า หากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายนิติบัญญัติ มองว่า การนำเสนอเรื่องราวของหรือเกี่ยวกับคนเพศที่สาม คือ ปัญหาที่ขัดต่อศีลธรรม หรือมองว่าคนที่มีลักษณะ "สับสนทางเพศ" เป็นปัญหาหรือนำปัญหาต่าง ๆ มาสู่สังคมไทย คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ ฯ ก็ควรต้องทราบเสียด้วยว่า ถ้าเราสามารถสมมติ "เพศ" ให้กับสิ่งของได้ ในที่นี้คือ พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ฯ (ภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน ก็กำหนดเพศให้สิ่งของทุกอย่าง) พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของ "ปัญหาสังคม" ที่คณะกรรมการฯ คิด เพราะกฎหมายฉบับนี้มีความ "สับสนทางเพศ" มากที่สุดฉบับหนึ่ง เนื่องจากไม่มีความชัดเจนเลยว่า ตกลงแล้วจะใช้ระบบเรตติ้งหรือเซ็นเซอร์ แต่ที่แย่ยิ่งกว่ากรณีของคนเพศที่สาม ก็คือ กฎหมายฉบับที่แสนสับสนอลหม่านนี้ ดันมีบทลงโทษทางอาญาที่สามารถคุกคาม หรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนอื่น ๆ ได้ด้วย
บทสรุปต่อกรณีนี้
อาจมีประชาชนบางหมู่เหล่าชี้หน้านักวิชาการ คนดูหนัง หรือแวดวงศิลปะที่ประท้วงการแบนภาพยนตร์ว่า เป็นพวกเสรีนิยมจ๋า เรียกร้องเสรีภาพโดยไม่สนใจหน้าที่ แต่หากพิจารณาให้ดี คำกล่าวหาเหล่านี้มักตั้งอยู่บน อคติ ออกจะเลื่อนลอย และหลายมาตรฐาน สาเหตุมาจากหลากหลายประการ อาทิ
สุดท้าย พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในยุครัฐบาลคมช. ภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่ควรต้องถูกสังฆยนาใหม่อีกครั้ง และเรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องผลักดันให้ระบบการให้เรตภาพยนตร์ที่แท้จริงใช้ได้ในประเทศไทยเสียที ไม่มีการ "สอดไส้" บทห้ามฉายไว้ได้อีก อย่างไรก็ตาม หากสังคมไทยต้องการเล่นบทประนีประนอม และเห็นว่าควรมีมาตรการดังกล่าวไว้บ้างเพื่อใช้กำกับภาพยนตร์ที่มี "เนื้อหา" เป็นความผิดจริง ๆ หน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติไทย ก็คือ ต้องพยายามกำหนดไว้ในตัวกฎหมาย (ไม่ใช่ในคู่มือการพิจารณาภาพยนตร์) ให้ชัดเจนว่า เนื้อหาหรือฉากในลักษณะใดบ้างที่เมื่อมีแล้วผู้สร้างต้องตัดออก หรือดำเนินการแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ดำเนินการก็ไม่สามารถให้ฉายได้ อาทิ ภาพลามกอนาจารเด็กและเยาวชน ฉากมนุษย์ร่วมเพศกับสัตว์ ฉากสอนการทำระเบิดหรือวิธีการทำผิดกฎหมาย ฯลฯ เป็นต้น มิใช่เลือกใช้ถ้อยคำกว้างขวาง คลุมเครือ ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย อย่างที่เป็นอยู่ ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นจุดอัปลักษณ์ที่สุดของกฎหมายฉบับนี้.
"ในการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ตามมาตรา 25 ให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์กำหนดด้วยว่าภาพยนตร์ดังกล่าวจัดอยู่ในภาพยนตร์ประเภทใด ดังต่อไปนี้
(2) ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ดูทั่วไป
(3) ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่สิบสามปีขึ้นไป
(4) ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไป
(5) ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีขึ้นไป
(6) ภาพยนตร์ที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีดู
(7) ภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)