ศาลพิพากษา บ.ตะกั่วฯ ชดใช้กะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ 36 ล้าน

คดีชาวบ้านคลิตี้ล่างจำนวน 151 คน ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ จำกัด ศาลตัดสินบริษัทชดใช้ 36 ล้าน พร้อมให้ฟื้นฟูลำห้วยที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนให้กลับมาใสสะอาดดังเดิม 

 
วานนี้ ( 20 ธ.ค.53) เวลา 10.00 น. ศาลชั้นต้นจังหวัดกาญจนบุรีได้นัดฟังคำพิพากษาคดีแพ่ง กรณีชาวบ้านบ้านคลิตี้ล่างจำนวน 151 คน ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ จำกัด กับพวกรวม 7 คน เป็นจำนวนเงินรวมกันทั้งสิ้น 1,041,952,000 บาท โดยนายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา พร้อมด้วย นายสุรสีห์ พลไชยวงศ์ ทนายความ นำชาวกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านคลิตี้ล่าง จำนวน 8 คน ซึ่งเป็นตัวแทนชาวกะเหรี่ยงจากทั้งหมด 151 คน ประกอบด้วย นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ นายกิตติ นาสวนกิตติ นายสนชัย ทองผาภูมิปฐวี นายประชา อรุณศรีสุวรรณ นายนิคม นาสวนกิตติ นางมะขิ้ว นาสวนสุวรรณ และนางวาสนา อรุณศรีสุวรรณ เข้าฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นจังหวัดกาญจนบุรี
 
นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อประมาณ 30-40 ปี เหมืองแร่ตะกั่วได้เปิดดำเนินกิจการ ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปี 2541 ชาวบ้านทนสภาพปัญหาดังกล่าวไม่ไหว แต่เจ้าของเหมืองแร่ก็ไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน แต่ก็ได้รับการแก้ไขจากภาครัฐน้อยมาก จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง ซึ่งคดีนี้มีชาวบ้านคลิตี้ล่างจำนวน 151 คน ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเมื่อปี 2550 ซึ่งวันนี้เป็นการตัดสินของศาล ปัจจุบันสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ยังคงมีสภาพเหมือนเช่นที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเหมืองแร่จะเลิกกิจการไปแล้วก็ตาม แต่สารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ก็ยังกองอยู่ใต้ท้องน้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้สารตะกั่วปะปนอยู่กับสัตว์น้ำและพืชผักที่ชาวบ้านเก็บมาบริโภค เพื่อการดำรงชีวิต และปัจจุบันก็ยังมีชาวบ้านที่เจ็บป่วยล้มตายอย่างต่อเนื่องเพราะว่าได้รับ สารตะกั่วสะสมตั้งแต่บริษัทเริ่มเปิดกิจการ ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้มีชาวบ้านเสียชีวิตไปแล้วหลายสิบราย แต่ก็ยังไม่มีการวินิจฉัยยืนยันว่าการเสียชีวิตดังกล่าวเกิดจากสารตะกั่ว
 
นาย สุรพงษ์ กล่าวต่อมาว่า อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านคลิตี้ไม่คิดที่จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากได้อยู่อาศัยกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว หากยังไม่มีพื้นที่ที่ดีและเหมาะสมกว่านี้ ชาวบ้านก็ยังคงจะอาศัยทำกินในพื้นที่นี้ต่อไป ส่วนผลเสียจากการแต่งแร่ตะกั่วของเหมืองแร่คลิตี้ และเหมืองเค็มโกยังไม่มีการกำจัดสารตะกั่วออกจากพื้นที่ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวเลย สำหรับคดีนี้คาดว่าจะยืดเยื้อต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกระบวนการทางศาลถึงแม้จะช้า แต่อีกไม่นานเชื่อว่าจะชัดเจนขึ้น ส่วนการฟื้นฟูลำห้วยขณะนี้ชาวบ้านได้ฟ้องกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งศาลปกครองได้ตัดสินไปแล้วว่าให้กรมควบคุมมลพิษเข้าไปฟื้นฟูลำห้วย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ส่วนในเรื่องของการรักษาชาวบ้านก็ต้องรอกระทรวงสาธารณสุขที่จะเข้ามา วินิจฉัยว่า ยังมีชาวบ้านได้รับพิษสารตะกั่วอยู่ในร่างกายหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่
 
ต่อมาเวลา 11.00 น. ภายหลังศาลชั้นต้นจังหวัดกาญจนบุรีอ่านคำพิพากษา นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้อ่านคำพิพากษา สรุปคร่าวๆ ว่า ชาวบ้านมีอำนาจในการฟ้องเพื่อปกป้องลูกหลานของตนเอง และเรื่องประเด็นอายุความ การฟ้องเป็นการฟ้องในเรื่อง พ.ร.บ.รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในมาตรา 96 วรรค 1 ซึ่งจะมีอายุความทั่วไป 10 ปี เพราะฉะนั้นการที่บริษัทเหมืองแร่ยังไม่ทำการฟื้นฟูลำห้วย ก็ถือยังต้องมีความรับผิดชอบตลอดไป ส่วนเรื่องการปล่อยศาลพิษ หรือสารตะกั่วพบว่ามีการปล่อยสารพิษลงลำห้วยคลิตี้จริง ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านจริง ซึ่งการที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ไม่จำเป็นจะต้องมีปริมาณของสาร ตะกั่วในเลือดและร่างกายเกินมาตรฐานเท่านั้น ซึ่งผลกระทบที่ได้รับถือว่าได้รับผลกระทบจากสารพิษโดยตรง และเป็นผลกระทำโดยตรงของบริษัทเหมืองแร่ที่ต้องมีความรับผิด
 
นายสุรพงษ์ เปิดเผยต่อว่า ศาลได้อ่านคำพิพากษาตัดสินให้บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ กับพวกรวม 7 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง เป็นเงินรวมกันทั้งสิ้น 35,800,000 บาท โดยแต่ละรายจะได้รับค่าชดเชยไม่เท่ากัน ซึ่งมีผู้ได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 1 แสนบาท จำนวน 4 ราย, 1.5 แสนบาท จำนวน 91 ราย, 2 แสนบาท จำนวน 5 ราย, 3แสนบาท จำนวน 4 ราย, 3.5 แสนบาท จำนวน 9 ราย, 4 แสนบาท จำนวน 29 ราย, และ 6 แสนบาท จำนวน 8 ราย รวม 150 ราย โดยศาลไม่ได้ตัดสินจำนวน 1 ราย คือนาย จีซ่า นาสวนสุวรรณ อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 หมู่ 3 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เนื่องจากบุคคลดังกล่าวได้เสียชีวิตลงในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล และศาลชั้นต้นจังหวัดกาญจนบุรียังได้อ่านคำพิพากษาตัดสินให้ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ จำกัด กับพวกรวม 7 คน ให้ดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนให้กลับมาใสสะอาดดังเดิม แต่ถ้าหากบริษัทไม่ยอมดำเนินการ ชาวบ้านสามารถดำเนินการเองได้โดยสามารถเรียกค่าเสียหายจากบริษัทในการดำเนินการได้อีก
 
อย่างไรก็ตาม จากในคำพิพากษาที่ศาลอ่าน ระบุยอดรวมค่าเสียหายผิดพลาดเป็น 35,800,000 บาท ซึ่งได้มีการตรวจสอบและแก้ไขในภายหลังแล้ว ยอดรวมที่ถูกต้องคือ 36,050,000 บาท
 
ด้านนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ แกนนำชาวบ้าน กล่าวหลังจากฟังคำพิพากษาว่า ตนรู้สึกพอใจในการอ่านคำพิพากษาของศาลในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าชาวบ้านทั้งหมดได้รับความเป็นธรรม โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ใสใจเรื่องเงินทองมากนัก แต่ทุกคนต้องการให้มีการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิน จากนี้ไปตนจะไปปรึกษากับชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอ่านคำพิพากษาศาลจังหวัดกาญจนบุรีในคดีนี้ ได้มี นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ และนายบุญส่ง จันทร์ส่องรัศมี รองประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ มาร่วมฟังคำพิพากษาของศาลในครั้งนี้ด้วย ส่วนฝ่ายจำเลยไม่ได้ส่งทนายหรือตัวแทนมาร่วมรับฟังคำพิพากษาของศาลจังหวัดกาญจนบุรีแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ กับพวกรวม 7 คน สามารถยื่นเรื่องเพื่อขออุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน 
 
 
ที่มา: เรียบเรียงจากข่าวสดออนไลน์ 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท