เสียงจากนักโทษคดีหมิ่นฯ: ประวัติชีวิตบนเส้นทางสายแดง “ผิดด้วยหรือที่เลือกยืนฝั่งนี้” (1)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
 
ชื่อบทความเดิม: จากชนชั้นกลางคนหนึ่งสู่เส้นทางไซเบอร์เสื้อแดง ผมเลือกทางนี้เอง ผิดด้วยหรือที่ผมเลือกยืนฝั่งนี้

  

 
จดหมายของนักโทษ ม.112 คดีหมิ่นเบื้องสูง “ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล” Single-Dad ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์นปช.ยูเอสเอ เขาเขียนบันทึกชิ้นนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ด้วยความตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนและความคิดทางการเมืองของเขาแก่คนร่วมชนชั้น ในฐานะ “มนุษย์ธรรมดา” คนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นเวลากว่า 9 เดือนแล้วที่เขาถูกจองจำอยู่ในแดน 8 เรือจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนจะมีการสืบพยานในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
 
1.พื้นเพ..ของผม
 
ย้อนหลังกลับไปก่อนปี 2552 ผมเองใช้ชีวิตอยู่กับลูกตามลำพังตามประสาพ่อลูก ภายหลังจากเกิดมรสุมชีวิตที่แม่ของลูกได้ตัดสินใจทิ้งผมและลูกชายไปมีครอบครัวใหม่ตอนลูกชายผมอายุ 4 ขวบ เมื่อปี 2546 หลังจากนั้นผมกับลูก (น้องเว็บ) ก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นโดยไม่คิดจะนำลูกชายไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง แต่ผมเลือกที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวของผมเองในบ้านหลังเล็กๆ ในอ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
 
ด้วยความรู้ที่ผมมีทางด้านการเขียนโปรแกรมเว็บไซต์ รวมถึงการพัฒนาเว็บ จึงทำให้ผมตัดสินใจเปิดบริษัทของตัวเองขึ้นมาเพื่อรับงานโดยตรงทางด้านพัฒนาเว็บไซต์ โดยเปิดที่บ้านที่ผมอยู่นั่นเอง ทั้งนี้ เพื่อที่ว่าผมจะสามารถเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยของผมได้อย่างใกล้ชิด ทางเลือกนี้จึงเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดทั้งตัวผมเองและลูกชาย
 
ผมเองไม่ค่อยมีสังคมสักเท่าไร เรียกได้ว่าไม่มีสังคมเลยก็ได้ อาจเป็นเพราะบ้านที่ผมอยู่มันห่างไกลความเจริญ รอบๆ หมู่บ้านรายล้อมไปด้วยทุ่งนา บรรยากาศสงบเงียบแม้จะเป็นหมู่บ้านใหญ่แต่ผู้คนก็ใช้อาศัยหลับนอนเท่านั้น ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกันเท่าไหร่ ดังนั้น เวลาของผมเกือบทั้งหมดจึงหมดไปกับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ดูหนังกับลูก และทำกิจกรรมกับลูก
 
ผมเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวใหญ่มีพี่น้อง 4 คนรวมผม เป็นชายล้วน ทุกคนล้วนทำงานเป็นหลักแหล่งและมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่อยู่ในขั้นดีมากยกเว้นผมที่ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด แล้วยังประสบปัญหาชีวิตจึงทำให้ผมไม่ค่อยเข้าถึงครอบครัวใหญ่สักเท่าไร อาจเป็นเพราะผมต้องการที่จะยืนหยัดฟันฝ่าชีวิตแต่เพียงลำพังก็ได้ จุดนี้เองเลยทำให้หลายครั้งผมถูกมองว่าเป็นคน “ดื้อ” ที่จะทำตามใจตัวเอง และเลือกในสิ่งที่ผมชอบหรือสบายใจ ผมจึงเป็นคนที่มีอิสระเต็มที่ในความคิด เพราะได้คิดและทำในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการ แม้แต่ในช่วงที่ประสบปัญหาครอบครัว ผมยังเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ทำให้ลูกต้องตกเป็นภาระของใคร
 
 
2. รักประชาธิปไตย ... แต่ไม่ไปเลือกตั้ง
 
สำหรับทางด้านการเมือง ผมเองถือว่าเป็นพวกที่ปากบอกว่ารักประชาธิปไตย แต่ไม่เคยไปเลือกตั้งคนหนึ่ง คล้ายๆ คนชั้นกลางทั่วไปเหมือนกันที่มีความคิดเห็นดุดันทางการเมือง กล้าตะโกนด่ารัฐบาล รัฐมนตรีที่โกงกินอย่างไม่อายใคร แต่พอถึงเวลาเลือกตั้งใช้สิทธิ ผมกลับไม่คิดจะไปเพราะกลัว “เสียเวลา”
 
จำได้ว่าครั้งแรกที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกและครั้งเดียวของผมคือการตั้งใจเดินทางกลับบ้านที่ปทุมธานี เพื่อไปใช้สิทธิเลือกผู้สมัครของ “ไทยรักไทย” ที่นามสกุล “หาญสวัสดิ์” ที่เป็นคู่แข่งของ “นักร้องชื่อดังของพรรคชาติไทย” แม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบคนของตระกูลนี้เท่าไหร่ (ในตอนนั้น) แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะเทคะแนนให้คนของพรรคไทยรักไทย และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทุกคะแนนเสียงในบ้านผม 5 เสียงเทให้ผู้สมัครของไทยรักไทยทั้งหมด แม้ท้ายสุดผลจะออกมาว่าไทยรักไทยแพ้ แต่เราก็รู้สึกภูมิใจว่าพวกเราครอบครัวเราทำเต็มที่แล้ว
 
เหตุการณ์และบุคคลที่ทำให้ผมจากคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทำงานเอกชน หันมาสนใจการเมืองนั่นคือกระแสพลังธรรม โดยจำลอง ศรีเมือง ซึ่งมีการเปรียบเทียบกันระหว่างคุณจำลองกับคุณสมัคร สุนทรเวช และในขณะนั้นผมเลือกที่จะชื่นชมคุณจำลองมากกว่าคุณสมัคร อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของคุณจำลองดูสมถะน่าเชื่อถือ ผมและคนทั้งบ้านต่างก็ชื่นชอบ เพราะดูจากภายนอกแล้วเป็นคนใสซื่อ มือสะอาด และมีธรรมะ ต่างจากคุณสมัครที่ออกในทำนองดุดันและปากจัด คุณสมัครจึงไม่เข้าตาผมและครอบครัวสักเท่าไหร่ เหล่านี้คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มสนใจข่าวสารการเมือง
 
ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจึงเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม เริ่มตั้งแต่พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ในครั้งนั้นผมก็แค่โวยวายอยู่กับบ้าน จำได้ว่าตอน พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกทางโทรทัศน์ ผมยังไปเดินช้อปปิ้งอยู่ที่มาบุญครองอยู่เลย ไม่เคยรู้ว่ามีพี่น้องของเราที่ไปร่วมชุมนุมในเหตุการณ์นั้น มีใครเจ็บใครตาย หรือทนทุกข์ทรมานอะไรบ้าง รู้แต่ว่าเหตุการณ์นั้น คุณจำลองคือฮีโร่ สุจินดาคือ ทรราชย์ รวมถึงการรับรู้เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพรรคการเมืองที่ใช้ไม่ได้ ที่บอกว่า “จำลองพาคนไปตาย” และผมก็มีภาพติดลบกับพรรคนี้เรื่อยมา
 
จากพฤษภาทมิฬ’35 เรื่อยมาจนประเทศไทยได้รับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอย่างแท้จริง คือ รัฐธรรมนูญปี 2540 จริงๆ แล้วบอกตามตรง ผมเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกว่ามันดียังไง รู้เพียงว่ามันถูกร่างขึ้นมาโดยความถูกต้องของภาคประชาชน ผมรู้เพียงเท่านี้ ไม่ได้เห็นความสำคัญอะไรมากมายนัก เพราะต้องทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ปากกัดตีนถีบเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
 
มารู้อีกทีก็ตอนรัฐบาลไทยรักไทยที่มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ตอนนั้นผมรู้อย่างเดียวว่าผมภูมิใจที่ได้นายกฯ คนนี้มาก เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็ชื่นชอบคุณทักษิณอยู่แล้ว จากความสำเร็จในกลุ่มธุรกิจชินวัตร ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้ว คุณทักษิณทำธุรกิจอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวคือ ธุรกิจมือถือของ AIS แต่ได้เห็นสื่อไทยและต่างประเทศลงข่าวของเค้าอยู่เสมอในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ อัศวินคลื่นลูกที่ 3 และผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย
 
 
3.คุณทักษิณ ... ใช่เลย ไอดอลของผม
 
ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจกับเค้าเช่นกัน ผมมักจะศึกษาเรื่องราวของบุคคลต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอยู่เสมอ นอกจากเจ้าสัวธนินท์ เจียรวรานนท์ อานันท์ กาญจนภาสน์ และคนอื่นๆ อีกมากมายแล้วหนึ่งในนั้นก็คือ คุณทักษิณ ชินวัตร แม้ผมจะไม่รู้เรื่องราวของเค้าอย่างละเอียดมาก่อนเลยก็ตาม
 
ยิ่งประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้เสียงอย่างท่วมท้นเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีประเทศไทยมา และนายกฯ คนนั้นชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ผมตื่นเต้น และดีใจเป็นที่สุด เพราะแน่ใจว่าภายใต้การนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ของคุณทักษิณ จะไม่เป็นแค่ความฝันของผมอีกต่อไป ในตอนนั้นความรู้สึกที่มีให้รัฐบาลคุณทักษิณ ผมให้กำลังใจเต็มร้อย เพราะมั่นใจในตัวเค้า รวมถึงทีมงานอีกหลายๆ คนอย่าง คุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์, คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และคนอื่นๆ อีกมากมาย รัฐบาลชุดนี้จึงเป็นดรีมทีมของผมไปโดยปริยาย
 
เมื่อรัฐบาลไทยรักไทยได้เริ่มบริหารประเทศ มีโครงการต่างๆ ที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างมากมาย ตามที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ และทำได้จริง จึงทำให้ผมมีความหวังกับรัฐบาลชุดนี้มาก แม้ผมเองจะไม่เคยได้รับอะไรตรงๆ กับโครงการต่างๆ เหล่านี้เลย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค, โอท็อป, กองทุนหมู่บ้าน หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน แต่นั่นผมก็ยังได้รับเสียงสะท้อนจากชาวไร่ชาวนาในชนบทที่รู้จักกันว่า เป็นประโยชน์จริงๆ และสามารถทำให้คนจนลืมตาอ้าปากได้กว้างๆ กับเค้าเสียที
 
ในขณะที่ความนิยมชมชอบในพรรคไทยรักไทยมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม ผมก็เกิดความเสื่อมขึ้นกับพรรคการเมืองอีกฝั่งหนึ่งนั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะค้านทุกเรื่อง ไม่มีการค้านในทางสร้างสรรค์เลย ที่ยังติดตาติดใจผมจนถึงตอนนี้คือภาพที่ส.ส.ประชาธิปัตย์ นำชื่อโครงการสมัยไทยรักไทยไปล้อเลียน โดยการแปะชื่อโครงการไว้ที่บันไดแล้วเดินลงบันไดกันมา มันเป็นภาพที่ทำให้ผมโกรธมาก เพราะโครงการที่มีประโยชน์ เห็นผลได้จริง ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนทำมาก่อน กลับถูกเหยียบย่ำดูถูกจากพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล้วช่างน่าเสียใจกับคนที่เลือกพรรคนี้จริงๆ สิ่งต่างๆ ที่พรรคนี้แสดงออกมาทั้งหมด เป็นเหมือนการตอกตะปูปิดฝาโลงพรรคการเมืองนี้ว่าชาตินี้อย่าหวังเลยที่จะได้รับการสนับสนุนจากผม
 
 
4.”รัฐประหาร 19 ก.ย.49” คนไทยได้อะไร?
 
ภายหลังจากรัฐบาลไทยรักไทยอยู่จนครบวาระ 4 ปี และมีการเลือกตั้งใหม่ แล้วก็ได้รับเลือกกลับเข้ามาแบบถล่มทลายอีกครั้ง ในความคิดผมประเมินว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วหลังจากเป็นประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนามาเป็นเวลานาน การที่ผมทำงานกับเพื่อนชาติต่างๆ อยู่หลายประเทศ ทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างรู้จักเมืองไทยมากขึ้น จากนโยบายต่างๆ ที่คุณทักษิณได้คิดได้ทำในระดับนานาชาติ โครงการที่มีการดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาร่วมมือกันโดยมีประเทศไทยเป็นแม่งาน จึงไม่แปลกที่ข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยจะได้รับการเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีคนไทยหลายๆ ล้านคนที่คิดไม่ต่างกับผม แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สิ่งที่ผมคิดและคาดหวังเกี่ยวกับประเทศไทยในอนาคตก็มีอันมลายหายไป และทำให้ประเทศไทยเจริญย้อนหลังลงไปอย่างน้อย 6 ปี นั่นคือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของประชาชน ด้วยเหตุการณ์ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยนายสนธิ บุญยรัตกลิน
 
 
5. ก้าวแรกกับการมีส่วนร่วมทางไซเบอร์
 
แม้ผมจะรับรู้และติดตามข่าวสารทางการเมืองมาโดยตลอดไม่เคยขาด ตลอดจนมีความคาดหวังที่จะให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นคลี่คลายไปในแนวทางที่คล้ายๆ กับหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ’35” ผมจึงได้แต่แอบให้กำลังใจพรรคไทยรักไทย คุณทักษิณ และคณะรัฐมนตรีที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จำนวน 111 คน ให้ได้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ในขณะเดียวกันผมเองก็ต้องการทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ทำให้คณะทหารที่ใช้ชื่อตัวเองว่า “คมช.” ยึดอำนาจจากนายกทักษิณ ดังนั้น ผมจึงเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเว็บไซต์แรกที่ผมเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกก็คือห้องราชดำเนิน เว็บไซต์ “พันทิป ดอทคอม” โดยยังเป็นการโพสต์แสดงความเห็นเป็นครั้งคราว หลังจากว่างจากการทำงานแล้วก็จะหาโอกาสเข้าเว็บไซต์นี้เพื่ออ่านกระทู้ต่างๆ ในแต่ละวัน และตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทางประชาธิปไตย และในขณะที่ผมได้รู้จักเว็บพันทิปที่ขณะนั้นดูเหมือนกระแสของสมาชิกในเว็บนี้จะเอนมาทางฝั่งคุณทักษิณ ผมยังได้รู้จักกับเว็บที่อยู่ตรงข้ามกันนั่นคือ เว็บไซต์ผู้จัดการ ของกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล อีกด้วย และตรงนี้แหละที่เป็นตัวจุดประกายให้ผมได้ตัดสินใจทำงานทางไซเบอร์ให้กับคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา
 
 
6. วางเม้าท์....พาลูกเราไปสนามศุภฯ
 
แม้ผมจะเริ่มมีความสนใจและกล้ามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยผ่านทางโลกไซเบอร์มากเพียงใดก็ตาม มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่แน่ใจที่จะออกไปร่วมชุมนุมกับเค้าเสียที นั่นก็คือด้าน “ความปลอดภัย” เพราะผมมีความจำเป็นจะต้องพาลูกของผมไปด้วย เพราะการจัดชุมนุมส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ เมื่อไม่มีใครดูแลลูก ผมในฐานะ Single-Dad จึงต้องกระเตงลูกไปด้วย ผมพยายามชั่งใจอยู่หลายครั้ง จากธันเดอร์โดม เมืองทองธานี มาสนามรัชมังคลากีฬาสถาน แล้วก็มาวัดสวนแก้วใกล้บ้านผม ผมก็ยังไม่กล้าที่จะพาลูกไปร่วมชุมนุมด้วย อีกทั้งคนใกล้ชิดหลายๆ คนก็ห้ามเอาไว้ว่าอย่าเอาลูกไปเลย ถ้าจะไปก็ไปคนเดียว ผมก็คิดในใจว่าถ้าไม่เอาลูกไปด้วย แล้วลูกผมจะไปอยู่ที่ไหนกัน ?
 
แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น นั่นคือ การตัดผังรายการ “ความจริงวันนี้” ทางช่อง NBT ในขณะนั้นออกจากผังรายการที่ออกอากาศเป็นประจำทุกวัน โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การกระทำในครั้งนั้ทำให้ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินทางไปร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกที่สนามศุภัชลาศัย โดยสอบถามความสมัครใจของลูก (แกมบังคับ) ว่าจะไปด้วยกันมั้ย? (แน่นอนคำตอบของลูกผมก็คือไป) เมื่อลูกวัย 8 ขวบตอบตกลง และผมได้ใคร่ครวญแล้วว่าการไปร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่น่าจะอันตรายอย่างที่เคยคิดไว้ โดยดูจากการชุมนุมทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น ผมกับลูกจึงได้เตรียมตัว เสื้อแดงของผมกับลูกตัวแรกจึงพร้อมสำหรับวันนั้น เพราะมันหาไม่ยาก ผมกับลูกมีเสื้อแดงสำหรับใส่ในวันตรุษจีนอยู่แล้ว
 
ผมกับลูกออกเดินทางแต่เช้า ใส่เสื้อแดง หมวกแดง พร้อมกล้องคู่ใจ ออกจากบ้านพักในจังหวัดนนทบุรี ผมรู้สึกตื่นเต้น ลูกผมก็เช่นกัน เพราะคิดว่าหลังจากที่เราได้ดูการชุมนุมผ่านจอทีวีมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้แหละจะได้พบกับของจริงสักที ระหว่างทางที่ออกจากบ้านมา ผมกับลูกจะคอยดูสองข้างถนนแล้วนับจำนวนคนใส่เสื้อแดงกันอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งรถวิ่งเข้ามาสู่เขตเมืองเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบเห็นคนใส่เสื้อแดงมากขึ้นเท่านั้น แถมบางคนยังมีอุปกรณ์ติดไม้ติดมือเพิ่มเข้าไปอีกนั่นคือ “ตีนตบสีแดง” ที่พบเห็นได้จากคนเสื้อแดงที่กระจัดกระจายคอยรถกันอยู่ข้างถนน
 
ผมมาต่อรถที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพราะตั้งใจจะโดยสารรถไฟฟ้ามาลงที่สนามศุภฯ ตามคำแนะนำของเพื่อนๆ ชาวไซเบอร์ ที่สถานีรถไฟฟ้านี้เอง ผมได้พบกับกลุ่มมวลชนที่ใส่เสื้อแดงกลุ่มใหญ่ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ผู้สูงอายุ รวมกลุ่มกันปะปนกับคนที่แต่งตัวธรรมดา ผมกับลูกได้รับการต้อนรับทักทายกันเป็นอย่างดี รวมถึงการแสดงความยินดีที่ได้พบเพื่อนร่วมแนวคิดเดียวกัน โดยเฉพาะลูกชายผมได้รับความสนใจมีคนเข้ามาจับไม้จับมือ หยิกแก้ม ดึงผมกันจนเป็นที่สนุกสนาน ในฐานะ “เยาวชนเสื้อแดง” ผมกับลูกโดยสารรถไฟฟ้ามาพร้อมกับคนเสื้อแดงที่เรียกได้ว่าเต็มทุกโบกี้ ยิ่งใกล้สนามศุภฯ มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระหว่างสถานีที่มีการจอดรับผู้โดยสารก็จะมีคนเสื้อแดงเดินเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่ยืน
 
และแล้วก็มาถึงสถานีปลายทาง สนามศุภฯ อยู่ข้างหน้าแล้ว พี่น้องเสื้อแดงทุกคนทยอยกันลงจากรถ บางคนเริ่มหยิบอุปกรณ์ประจำตัวออกมาจากกระเป๋า เช่น แถบผ้าสีแดง แล้วนำมาผูกไว้ที่ศีรษะ บางคนใส่แว่นแดง วิกแดง ผมยังได้พบเห็นหลายคนที่โดยสารมาพร้อมเราที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดง แอบยืนอยู่ริมกำแพง แล้วหยิบเอาเสื้อแดงที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเปลี่ยนแทนเสื้อที่ใส่มา แปลงร่างเป็นคนเสื้อแดงแบบสดๆ ร้อนๆ กันที่สถานีรถไฟฟ้านี้เลย บรรยากาศที่นี่เริ่มดูคึกคักมากจริงๆ ผมได้ยินเสียงโห่ร้องสนุกสนานที่ดังมาจากทางด้านล่างสถานีรถไฟฟ้า ตลอดทางเดินที่จะมุ่งสู้ประตูทางเข้าสนามศุภฯ เต็มไปด้วยแผงขายสินค้าของคนเสื้อแดงวางเรียงรายแน่นไปหมดแทบไม่มีทางเดิน
 
นอกจากลูกชายผมที่ผมเองคิดว่าเป็นเด็กเล็กแล้ว ปรากฏว่ามีพ่อแม่เสื้อแดงอยู่หลายคนที่พาลูกของตัวเองไปด้วย บางคนยังเป็นเด็กทารกมาพร้อมกับรถเข็นก็มี บางคนมากันทั้งครอบครัวเลยก็มี น้องเว็บลูกชายผมไม่เหงาแล้วคราวนี้ ผมเดินตามกลุ่มคนเสื้อแดงลงมาทางบันไดทางลงที่มุ่งลงสู่สนามศุภฯ จำได้ว่าเดินตามหนุ่มสาวคู่หนึ่งมาที่เค้าทั้ง 2 คนดูเหมือนดารามากๆ ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งคู่ แต่สองคนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อแดง ผมเดินตามสองคนนี้มาเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าสนามศุภฯ ในใจผมไม่คิดว่าพวกเขาจะเดินข้าไปในสนามแน่ คิดว่าคงจะเดินผ่านไป แต่ปรากฏว่าพวกเขาทั้ง 2 คนก็หันหน้าเดินเข้าสนามศุภฯ อย่างไม่ลังเล โดยมีผมเดินตามไปติดๆ สร้างความประหลาดใจให้ผมเหมือนกัน
 
และทันทีที่เดินผ่านทางเข้าประตูไป หนุ่มสาวคู่นี้ก็ได้หยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจากในกระเป๋าสะพายของเค้า มันคือผ้าคาดศรีษะสีแดง ภาพที่ผมเห็นจากหนุ่มสาวคู่นี้สร้างความประทับใจให้ผมมาก เพราะยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่ได้มีแค่เพียงคนจนรากหญ้าดังที่ฝ่ายตรงข้ามพูดถึงเท่านั้น แต่ยังคนอีกระดับที่มีการศึกษา มีหน้ามีตาทางสังคม นักธุรกิจ และคนรุ่นใหม่รวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่นี้คาดผ้าสีแดงที่ศีรษะแล้วผมจึงได้เดินไปด้านหน้าของพวกเขาแบบห่างๆ เพื่อหวังจะถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก ก็พบว่าข้อความที่สกรีนอยู่บนผ้าบางๆ เขียนว่า “คิดถึงทักษิณ” สั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ต้องอธิบายอีก สุดแสนจะประทับใจผมเลยจริงๆ
 
หลังจากผมและลูกชายได้พักเหนื่อย  กินน้ำ กินข้าวเหนียวหมูปิ้งกันจนอิ่มแล้ว เราก็ได้พากันเดินอยู่รอบนอกบริเวณสนามอยู่พักหนึ่ง มีการวางขายสินค้าเสื้อแดงมากมาย มีกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นนำของที่ระลึกมาขาย ผู้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาถึงแล้วก็เดินจับจ่ายซื้อของสินค้าเสื้อแดงที่ตนเองสนใจ ผมเองก็ได้ซื้อเสื้อความจริงวันนี้ของผมและลูกคนละตัว ตีนตบ ผ้าโพกหัว ผ้าพันคอ หมดเงินไปหลายร้อย จนเมื่อเริ่มมีเสียงเพลงดังออกมาจากทางเวทีด้านในสนาม ผมจึงจูงมือลูกพากันเดินเข้าไปสู่ด้านในของสนามในทันที
 
 
7. ชุมนุมใหญ่ที่สนามศุภฯ .. ความประทับใจไม่มีวันลืม
 
ภาพแรกที่ได้เห็นทันทีที่เดินเข้าไปในสนามก็พบเห็นพี่น้องเสื้อแดงด้านขวาของสนามกว่าครึ่งสนามนั่งกันอยู่อย่างหนาแน่นเต็มอัฒจรรย์ มีเสียงตะโกนโห่ร้องแสดงการต้อนรับกลุ่มคนที่เดินเข้ามาในสนามอยู่เป็นระยะ พิธีกรบนเวทีจะคอยประกาศข่าวการมาถึงของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดต่างๆ ที่ทยอยกันเดินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผมและลูกชายอย่างมาก เราเดินเล่นอยู่กลางสนามเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกมามายจนลูกชายเริ่มเหนื่อย ผมจึงพาลูกชายเดินขึ้นไปพักผ่อนบนอัฒจรรย์อีกด้านหนึ่งที่แดดยังส่องอยู่ เรานั่งอยู่จนผู้คนที่อยู่ด้านนอกทยอยกันเข้ามาสู่ในสนามจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้ยืน ผมจึงคิดว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว เพราะลูกชายผมเวลานี้ได้นอนหลับสลบอยู่คาอกของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเหนื่อยล้า ผมจึงได้อุ้มลูกน้อยเดินออกมาจากสนามเพื่อเดินกลับบ้านในทันที
 
คุ้มค่าจริงๆ สำหรับการตัดสินใจเดินทางมาร่วมชุมนุมในวันนี้ ถึงแม้ผมจะได้อยู่แค่ตอนเริ่มงานช่วงแรกๆ เท่านั้นก็ตาม และมีสิ่งหน่งที่ผมได้รับรู้ และเป็นคำถามขึ้นมาในตอนนั้นก็คือ ทำไมนนทบุรีบ้านผมถึงได้มีกลุ่มเสื้อแดงหลายกลุ่มนัก เช่น แดงบางกรวย แดงปากเกร็ด แดงบางใหญ่ และไม่ใช่ที่นนทบุรีจังหวัดเดียวเท่านั้นที่มีหลายกลุ่ม ยังมีอีกหลายจังหวัดที่มีกลุ่มย่อยๆ แต่มาจากจังหวัดเดียวกัน ซึ่งสังเกตได้จากป้ายต่างๆ ที่มีการถือกันอยู่ภายในสนาม เมื่อกลับมาถึงบ้านผมจึงได้คิดว่าทำอย่างไรที่จะทำให้กลุ่มย่อยต่างๆ เหล่านี้ รวมตัวกันให้เป็นกลุ่มในรูปแบบของกลุ่มจังหวัด โดยคิดกับจังหวัดนนทบุรีที่ผมอาศัยอยู่ก่อน และแล้วผมจึงได้ตัดสินใจว่า ผมจะลองทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักเว็บหนึ่งเพื่อรวบรวมมวลชนเสื้อแดงในจังหวัดนนทบุรีให้มาอยู่ในที่เดียวกันผ่านช่องทางไซเบอร์ เพราะผมคิดว่าผมมีฝีมือพอที่จะทำเว็บง่ายๆ แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไม่ยากนัก เพราะมีอาชีพทางด้านนี้อยู่แล้ว คืนนั้นเองผมจึงได้ตัดสินใจทำเว็บไซต์ตามแนวคิดของผมขึ้นมาใหม่ในทันทีโดยใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า “เรดนนท์ ดอทคอม” หรือ “กลุ่มนักรบไซเบอร์ แดงนนท์” ที่มีชื่อ URL ว่า www.rednon.com
 
 
โปรดติดตามต่อในตอนหน้า
 
 
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่: category/ ธันย์ฐวุฒิ-ทวีวโรดมกุล (คลิก) 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท