“อภิสิทธิ์” ระบุ ประชาชนแจ้งความประสงค์ทำ “โฉนดชุมชน” แล้ว 121 พื้นที่ รับที่ผ่านมาติดขัด เหตุราชการลังเลไม่กล้าทำ แนะมีปัญหาให้รายงานพร้อมแก้ไข-รับผิดชอบ ส่วน “สาทิตย์” เผยจ่อลงนามเอ็มโอยูร่วม 6 กระทรวง เดินหน้าโฉนดชุมชน ชี้เป็นนโยบายนายกฯ ที่ทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม
นับจากการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2551ที่ระบุถึงการจัดทำโฉนดชุมชน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินแก่กลุ่มเกษตรกรผู้ไร้ที่ทำกิน นำมาซึ่งความหวังในการมีที่ดินทำอยู่ทำกินโดยการสนับสนุนทางนโยบายจากรัฐบาล แต่การจัดทำโฉนดชุมชนโดยรัฐยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ขณะที่คดีฟ้องคนจนบุกรุกที่ยังคงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสาเหตุหลักที่ว่านโยบายโฉนดชุมชนยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
วานนี้ (21 ม.ค.54) คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นประธาน ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดการสัมมนาเรื่อง “โฉนดชุมชน เพื่อการทำกิน รักษาที่ดินอย่างยั่งยืน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงแนวคิดเรื่องโฉนดชุมชน และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานโฉนดชุมชนตามภารกิจที่ระเบียบกำหนดไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการ เกษตรกร และผู้สนใจร่วมรับฟัง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
จี้ข้าราชการเร่งผลักดันโฉนดชุมชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการสัมมนา และมอบนโยบายโฉนดชุมชน ว่า โฉนดชุมชนเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการจัดประชุมมอบนโยบายและตัดสินใจหลายเรื่องเพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินให้ยั่งยืน ด้วยแนวคิดการมีสวนร่วมของประชาชน ช่วยผู้ด้อยโอกาสให้มีสิทธิทำกินตามความเหมาะสม โดยการมอบให้ชุมชนบริหารจัดการพื้นที่ไม่ให้มีการเปลี่ยนมือ เพราะไม่ต้องการเพียงการแก้ข้อพิพาทระหว่างชุมชนและรัฐเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่สุดท้ายแล้วสิทธิ์กลับถูกโอนขายให้คนมีเงิน นำมาสู่การบุกรุกที่ทำกินใหม่ ทำให้การแก้ปัญหาไม่รู้จบสิ้นและทรัพยากรถูกทำลายลงเรื่อยๆ ซึ่งการแก้ปัญหาต้องอาศัยการทำงานของชุมชน ที่รวมตัวอย่างเข้มแข็งและมีธรรมมาภิบาล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อมาว่า การมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชนถือเป็นการเริ่มต้น เพื่อที่จะมีการออกกฎหมายต่อไป และขณะนี้สิ่งที่ต้องทำให้ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมคือมีการออกเอกสารโฉนดชุมชนจริง มีชุมชนที่เข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ โดยมุ่งหวังความสำเร็จในการติดตามและส่งเสริมให้เป็นพื้นที่เกษตรที่มีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาเฉพาะหน้าของการออกเอกสารดังกล่าว พบสภาพความเป็นจริงคือความไม่เข้าใจและการไม่ดำเนินการในทางปฏิบัติในหลายหน่วยงาน จึงต้องเน้นย้ำว่าเราต้องการขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีชุมชนที่แจ้งความประสงค์เข้ามาร่วมจัดทำโฉนดชุมชนแล้ว 121 ชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงความประสงค์ของชุมชนในการดูแลพื้นที่ และในระดับนโยบายและกลไกต่างๆ มีข้อยุติแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยงานราชการต้องปฏิบัติและรายงานว่าถ้ามีปัญหาอุปสรรคใด เพื่อจะได้แก้ไขให้ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจแล้วรัฐบาลจะรับผิดชอบ ที่ผ่านมาในเรื่องนโยบายภาคราชการไม่กล้าปฏิเสธแต่ก็ไม่มีการผลักดันให้เดินหน้าต่อเพราะเป็นเรื่องใหม่ แต่ถ้าไม่เดินตรงนี้ให้สำเร็จ ก็จะย้อนกลับไปเป็นปัญหานับพันพื้นที่ แม้ว่าอาจทำไม่สำเร็จใน 121 ชุมชน แต่ต้องเริ่มทำให้สำเร็จบ้าง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงปัญหาในส่วนฝ่ายปฏิบัติอีกว่า บางพื้นที่ติดขัดเรื่องงบประมาณ ก็โอนงบไปให้ แต่บางหน่วยงานยังลังเลไม่ทำก็คืนเงิน ทำแบบนี้ไม่ได้ ตนยืนยันว่านี่คือนโยบายของรัฐบาลที่หน่วยงานต้องปฏิบัติเพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้น เพราะหัวใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำกิน แต่จะเป็นรูปธรรมในการสร้างความเชื่อใจในการร่วมมือกันทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน
จ่อลงนามเอ็มโอยู หวังสร้างกลไกทำงานร่วมหน่วยราชการ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมื่อมีการเปิดสำนักงานโฉนดชุมชน ในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ได้มีชุมชนยื่นขอโฉนดชุมชนมา 88 แปลง ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดได้เพิ่มขึ้นเป็น 121 แปลง ได้อนุมัติไปแล้ว 35 แปลง ประกอบด้วย ที่ดินของกระทรวงมหาดไทย 9 แปลง ซึ่งได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่แล้ว ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้มีอากอนุญาติให้ใช้พื้นที่ก็จะเป็นที่ดินของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยาน และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และที่ดินของกระทรวงการคลัง รวมทั้งที่ดินในความดูแลของ กทม.อีก 4 แปลง
นายสาทิตย์กล่าวถึงการจัดทำโฉนดชุมชนด้วยว่า เป็นการให้กรรมสิทธิ์ในการจัดการที่ดินแก่ชุมชน โดยต้องใช้ประโยชน์ด้านที่อยู่อาศัยและทำการเกษตรเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ เพราะกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของรัฐ และจะมีคณะกรรมการโฉนดชุมชน สำนักนายกรัฐมนตรีไปตรวจสอบว่า ใช้ที่ดินเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากใช้ผิดวัตถุประสงค์สามารถเพิกถอนสิทธิได้
นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า การทำเอ็มโอยูจะมีการลงนามร่วมกันระหว่างสำนักงานโฉนดชุมชน สำนักนายกรัฐมนตรีกับแต่ละกระทรวงที่เป็นเจ้าของพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง 6 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อกำหนดข้อตกลงวิธีการทำงานร่วมกันในการใช้พื้นที่ ส่วนที่มีข่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่มอบที่ดินให้นั้น ยืนยัน ไม่มีปัญหาเรื่องไม่มอบพื้นที่ให้ เพราะเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม
ส่วนความคืบหน้าการทำเอ็มโอยู นายสาทิตย์ กล่าวว่า หลังจากนี้ไปในสัปดาห์หน้าจะมีการนัดกันระหว่างสำนักงานโฉนดชุมชนและทางปลัดกระทวงต่างๆ เพื่อมาพูดคุยกัน หลังจากนั้นจะมีการยกร่างเอ็มโอยูและลงนาม ซึ่งที่ต้องทำแบบนี้เพราะนโยบายนี้เป็นนโยบายใหม่ และการจัดส่วนงานขึ้นมารับรองโดยเฉพาะยังไม่มี ทำให้ทุกอย่างต้องเดินไปตามขั้นตอนปกติซึ่งล่าช้ามาก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ เช่น คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนอยากได้ที่ที่กรมอุทยานดูแล แต่ไม่มีระเบียบหลักเกณฑ์มารองรับชัดเจนการทำงานก็ล่าช้า เราจึงใช้วิธีการทำเอ็มโอยูเพื่อให้มีกลไกการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น
รับแก้ปัญหาโครงสร้างที่ดิน แก้ความเหลื่อมล้ำ
นายสาทิตย์ กล่าว ในการเสวนา “โฉนดชุมชน: ก้าวแรกสู่การแก้ปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน” ให้ความเชื่อมั่นว่า เรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินพูดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ ซึ่งยอมรับว่าโครงสร้างการถือครองที่ดินในประเทศก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่สูง และจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพราะฉะนั้นเรื่องการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินรัฐบาลชุดนี้จะเดินหน้าเต็มที่ ในเรื่องโฉนดชุมชนก็ขอความมั่นใจว่าแนวทางที่วางไว้ทั้งหมดจะมีความยังยืนและสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่
นอกจากนั้นยังมีเรื่องธนาคารที่ดินซึ่งตอนนี้ ครม.ได้อนุมัติในหลักการแล้ว และมีการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน คาดว่าจะเสร็จภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งธนาคารที่ดินจะเข้ามาเสริมในการเก็บข้อมูลเรื่องคนยากจนไร้ที่ทำกิน และหาที่ดินที่อาจอยู่ในการดูแลของหน่วยงานต่างๆ เพื่อมาจัดให้ประชาชนเข้าอยู่อาศัย รวมทั้งเป็นแหล่งทุนให้คนที่อยู่อาศัยของรัฐประเภทต่างๆ เรื่องกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำเงินมาให้กับธนาคารที่ดิน และในสภาก็มีการเตรียมออกกฎหมาย พ.ร.บ.การบริหารจัดการที่ดินที่สงวนหวงห้ามของรัฐเพื่อแก้ปัญหาการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ประชาชน
นายสาทิตย์ ให้ข้อมูลด้วยว่า วันที่ 11 กุมภาพันธ์ จะมีพิธีมอบโฉนดชุมชนแปลงแรก ที่ อ.คลองโยง จ.นครปฐม ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่มีความต้องการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมไว้ให้ลูกหลานในรูปแบบการจัดทำโฉนดชุมชน
วันที่ 7 มิ.ย.2553 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน ได้รับการลงนามโดยนายกรัฐมนตรี โดยให้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2553
วันที่ 5 ก.ค.2553
font-weight:normal">
font-weight:normal">มีการเปิดสำนักงานโฉนดชุมชน ในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล มีชุมชนที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ ปจช.ว่ามีความพร้อมที่จะประกาศให้เป็นพื้นที่โฉนดชุมชนจำนวน 35 แห่งทั่วประเทศ
วันที่ 14 ธ.ค.2553
font-weight:normal">
font-weight:normal">ครม.ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์กรมหาชน) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญจัดทำนโยบายและมาตรการเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมรวมทั้งจัดทำร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งธนาคารที่ดิน
วันที่ 15 ม.ค.2554
normal">
normal">สำนักงานโฉนดชุมชน ได้ดำเนินการรวบรวมพื้นที่ เพื่อจัดทำโฉนดชุมชนในพื้นที่นำร่อง โดยได้รับข้อเสนอจากเครือข่าย ภาคประชาชน ทั้งองค์กรเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย องค์กรเครือข่ายปฏิรูปสังคม และการเมือง ฯ จำนวน
font-weight:normal">121 ชุมชน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)