ตร.ออกหมายเรียก 10 แกนนำ พธม. ฝ่าฝืน พ.ร.บ.มั่นคง ด้าน "ไชยวัฒน์" ฟ้องศาลปค.สูงสุดขอไต่สวนฉุกเฉิน

ตร.ออกหมายเรียก 10 แกนนำพันธมิตรฯ และแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคง ขีดเส้น 22 ก.พ.ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่นครบาล ด้าน “ไชยวัฒน์” ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุด ขอไต่สวนฉุกเฉิน ยกเลิกมติ ครม.ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง

(15 ก.พ. 54) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวตนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวว่า หลังจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พยายามใช้การเจรจากับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เพื่อให้เปิดพื้นผิวการจราจร เมื่อเจรจาไม่เป็นผลจึงต้องเป็นขั้นตอนของกฎหมาย ความผิดที่ชัดเจน คือมาตรา 18 ห้ามเข้าพื้นที่หรือออกจากเขตความผิดตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักรพุทธศักราช 2551 ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ

โดยทาง ศอ.รส.ได้ประกาศไว้ว่าพื้นที่การชุมนุมดังกล่าวเป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง ตำรวจจึงจำเป็นต้องออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาในเบื้องต้นวันนี้ประมาณ 10 คน ทางเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยให้มารับทราบข้อกล่าวหาที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจนครบาล (บก.น.1) ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ให้เวลา 7 วัน หากต้องการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาก่อนได้ หลังออกหมายเรียกแล้วยังไม่มาก็ต้องดูว่ามีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ ก็ต้องดูตามเหตุผลต่อไป

รายชื่อแกนนำ 10 คน ประกอบด้วย
1.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
2.นายสนธิ ลิ้มทองกุล
3.นายประพันธ์ คูณมี
4.นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์
5.นายรักษ์ รักษ์พงษ์ หรือ สมณะโพธิรักษ์ โพธิรกฺขิโต
6.นายสุริยะใส กตะศิลา
7.นายเทิดภูมิ ใจดี
8.นายพิภพ ธงไชย
9.นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือ รัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี
10.นายทศพล แก้วทิมา

ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวว่า หลังจากที่ ศอ.รส.ออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯทั้ง 10 คนแล้ว แต่หากไม่ยินยอมเข้ามารายงานตัวตามหมายเรียก ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการออกหมายเรียกอีกครั้ง โดยอาจใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน จากนั้นถ้ายังปฏิเสธที่จะเข้ามารับทราบข้อกล่าวอีก เจ้าหน้าที่จะขออำนาจศาลเพื่ออนุมัติหมายจับกุมต่อไป นอกจากนี้ ทาง บช.น.ยังเตรียมประสานแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เพื่อขอเข้าไปร่วมตรวจสอบอาวุธและตรวจค้นบริเวณจุดผ่านเข้าออกพื้นที่การ ชุมนุม แต่ยังอยู่ระหว่างการประสานงานและยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น ซึ่งจะมีการเชิญสื่อมวลชนเข้าไปร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ผู้ชุมนุมยังสามารถชุมนุมบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาลได้อยู่หรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ถ้าตามกฎหมายผู้ชุมนุมที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการออกประกาศใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ออกหมายเรียกผู้ชุมนุมทุกคนก็ถือว่าเป็นการ อนุโลมให้ ส่วนในกรณีที่แกนนำและผู้ชุมนุมยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ในขณะที่ออกหมายเรียก แล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะระบุในบันทึกข้อความไว้ในสำนวนการสอบสวน เพราะถือเป็นการกระทำผิดที่ต่างกรรมต่างวาระ ส่วนการเจรจาขอคืนพื้นที่บริเวณรอบทำเนียบนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังดำเนินการอยู่ ซึ่งมีสัญญาณที่ดีว่าผู้ชุมนุมอาจยอมเปิดพื้นที่บางส่วนในช่วงเวลาเร่งด่วน แต่ยังไม่มีความชัดเจนในส่วนนี้

 
“ไชยวัฒน์” ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุด ขอไต่สวนฉุกเฉิน ยกเลิกมติ ครม.ใช้ กม.มั่นคง

วันเดียวกัน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ได้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง กระทำการโดยมิชอบ ที่มีการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ใช้ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตราชเทวี เขตป้อมปราบ เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และ เขตดุสิต โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.54 เพื่อดูแลสถานการณ์และการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่คาดว่าอาจจะขยายหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุม

โดยนายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ได้ยื่นฟ้อง ครม.ทั้งคณะ ซึ่งรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย ในฐานะประธานการประชุม ขณะที่คำขอท้ายฟ้อง ขอให้ 1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9-23 ก.พ.นี้

2.เพิกถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54 ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตราชเทวี เขตป้อมปราบ เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และ เขตดุสิต

นายไชยวัฒน์ กล่าวอีกว่า เหตุที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน. นอกจากนี้ ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าว เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ ที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554 โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ต่อไป และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่ต่อไป

 

ที่มา:

มติชนออนไลน์

และ ASTVผู้จัดการออนไลน์

1

,

2

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท