จำลองชี้ชุมนุมจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่จำนวน สำคัญที่คุณภาพผู้ชุมนุม

 ยันพันธมิตรฯ ไม่มีเส้น ลั่นให้รัฐบาลเลือกระหว่างสลายชุมนุมกับลาออก พร้อมเสนอ ทุกปีซ้อมรบอยู่แล้ว แค่ย้ายไปใกล้ชายแดน ให้กัมพูชารู้ว่ามีกำลังทางอากาศมากกว่าเป็นร้อยเท่า ด้านปานเทพยันเลยเวลาดีเบตกับรัฐบาลแล้ว แต่เสนอให้อภิปรายออกสื่อคนละเวลา ฟากละ 3 ชม. ส่วนกรณี “วีระ สมความคิด” ตัดสินใจขออภัยโทษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่ที่อายุมากเป็นห่วงบุตรชาย

จำลองลั่นการชุมนุมจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่คุณภาพของผู้ชุมนุม
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงาน ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์” ออกอากาศทางทีวีไทย ถึงการชุมนุมว่าต้องการกดดันเพื่อให้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน และถ้ายังไม่ยอมทำอะไรก็ขอให้นายกฯ ลาออก ส่วนที่ว่าการชุมนุมครั้งนี้มีคนน้อย นั้นการชุมนุมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้ชุมนุม แต่อยู่ที่การปักหลักพักค้างยืดเยื้อยาวนาน และเรื่องสำคัญอยู่ที่คุณภาพของผู้ชุมนุม

ประเด็นเรื่องการมีชาตินิยมแบบระราน พล.ต.จำลองกล่าวว่า เราไม่ได้มีชาตินิยมแบบระราน เขา (กัมพูชา) ต่างหากที่มาระรานเรา เขามายึดดินแดน แต่เราไม่ได้ผลักดันออกไป ปล่อยไว้จนเกิดเรื่อง 7 คนไทยถูกจับ ถ้ายังไม่ทำอะไรจะเกิดเหตุตามมาได้ ส่วนกรณีของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พล.ต.จำลองกล่าวว่า เป็นมิตรเก่าที่ไปรับงานรัฐบาล เขาก็ให้โฆษณา ให้ทำรายการ

ต่อกรณีที่นายกฯ บอกว่าพันธมิตรฯ มีทิฐิมาก ไม่ยอมมาเจรจากัน พล.ต.จำลองกล่าวว่า เจรจาหลายครั้งแล้วก็ล้มเหลวมาตลอด อยากให้นายกฯ ทำหน้าที่ของตนที่ดีกว่ามาเจรจา แต่ถ้าต้องการเจรจาอีกก็ทำได้ แต่ไม่ใช่การมาโต้วาทีกัน ต้องเจรจาและถ่ายทอดไปทุกช่อง ให้ทุกฝ่ายได้พูด โดยพูดทีละฝ่าย ที่ผ่านมาเจรจากันหลายครั้ง ประชุมลับก็มี ออกทีวีก็มี แต่สุดท้ายนายกฯ ก็โกหกมาโดยตลอด อยากให้เอาเวลาไปแก้ไขปัญหาดีกว่า

ยันพันธมิตรฯ ไม่มีเส้น มาของเราเดี่ยวๆ
การที่รัฐบาลใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พล.ต.จำลองกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้กฎหมายเราไม่เคยว่าอะไร สนับสนุนกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่มีปัญหา แต่ พ.ร.บ.ความมั่นคงใช้เพื่อให้เกิดความมั่นคงต่อประเทศชาติ เรามาทำหน้าที่ปกป้องให้ชาติมีความมั่นคง แต่กลับมาไล่เรา เพราะเราสร้างความไม่มั่นคงต่อรัฐบาล ส่วนที่ว่าม็อบพันธมิตรเป็นม็อบมีเส้นนั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่าไม่จริง ไม่มีเส้น เรามาของเราเดี่ยวๆ

พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตอนนี้เราเสียดินแดนไปแล้ว และจะเสียดินแดนอีกมหาศาล ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไร ปัญหาก็จะตามมา เราติดตามเรื่องนี้มาตลอด 1 ปีกว่า ซึ่งไม่มีครั้งไหนที่มีปัญหากระทบกับประเทศชาติใหญ่เท่าครั้งนี้ ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าทำไมไม่ใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา พล.ต.จำลองกล่าวว่า ถ้าใช้ได้จริงเราใช้ไปแล้ว ในปี 2535 ตนคัดค้านการสืบทอดอำนาจในสภาแต่ใช้ไม่ได้ผลจึงต้องออกมาเคลื่อนไหวบนท้อง ถนน

กองทัพมีแสนยานุภาพต้องใช้ให้เหมาะสม เป็นกำลังอำนาจในการต่อรอง
ส่วนการเรื่องการใช้กำลังทางทหาร พล.ต.จำลองกล่าวว่า กองทัพมีแสนยานุภาพต้องใช้ให้เหมาะสม ไม่ใช่ให้มารบราฆ่าฟันกัน แต่ใช้เป็นกำลังอำนาจในการต่อรอง ทหารต้องฝึกซ้อม มีเครื่องบินรบเอฟ-5 เอฟ-16 เราก็เอามาฝึกซ้อมรบบ้างตามแนวชายแดนแสดงแสนยานุภาพของเรา ไม่ใช่ให้เขามาขู่เอาๆ แสนยานุภาพทางการทหารจะเสริมกำลังอำนาจในการเจรจาต่อรอง ถ้าเราทำให้ถูกต้องก็จะไม่เป็นเบี้ยรองแบบนี้

สำหรับจุดยืนของพันธมิตรฯ 3 ข้อนั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า ต้องการให้นายกฯ ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลก เลิกเอ็มโอยู 2543 และให้ผลักดันกัมพูชาออกไป แต่ที่ชุมนุมก็ได้ยกระดับเป็นขับไล่รัฐบาล และเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่มีการปะทะกัน ก็มีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมคือ ขอให้ทำลายถนนที่กัมพูชาสร้างเข้ามาในดินแดนไทย และต้องตัดเส้นทางผ่านของยุทธปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำมัน และอาหาร

ถ้ารัฐบาลยุบสภาแล้วจะเป็นอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า ยุบสภาหรือไม่ยุบสภาไม่เกี่ยว เราต้องการให้ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ถ้ายุบสภาแล้วพรรคไหนมา ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทย การชุมนุมครั้งนี้แพ้ไม่ได้ เพราะจะประเทศไทยเสียดินแดน ถ้าแพ้ก็หมายถึงเราทุกคนแพ้ บ้านเมืองแพ้ ประเทศแพ้ ซึ่งสะเทือนไปถึงพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทศพิธราชธรรม แต่เราต้องเสียดินแดนภายใต้รัชกาลของพระองค์ การชุมนุมครั้งนี้ต้องชนะอย่างเดียว

พล.ต.จำลอง ได้ยกเนื้อร้องเพลงชาติไทย ที่ว่า “ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเพื่อชาติพลี...” จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ และถ้าเหตุการณ์ไทยกับกัมพูชาจะบานปลายไปสู่สงคราม ก็เป็นเพราะนายกฯ ไม่ทำอะไร ถ้านายกฯ ทำตามข้อเสนอของเราปัญหาก็จบ ส่วนถ้าจะเอากฎหมายมาบังคับใช้ตนยอมรับ จะติดคุกติดตะรางเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร ตนไม่เคยโวยวาย เพราะคิดว่าต้องทำเพื่อชาติ ถ้าจะต้องติดคุกก็ติดไป และได้ย้ำว่าการต่อสู้ครั้งจะแพ้ไม่ได้

ล่าสุด จำลองยันยังไม่เคลื่อน แต่ให้รัฐบาลเลือกระหว่างสลายชุมนุมกับลาออก
ขณะที่ล่าสุด ช่วงวานนี้ (17 ก.พ.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงาน ว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชนในช่วงเย็น

โดย พล.ต.จำลอง กล่าวถึงแนวทางการชุมนุมเกี่ยวกับการเคลื่อนขบวนออกไปกดดันตามสถานที่ราชการ ว่า ยังอยู่ในแผนการ แต่อย่าใจร้อน โดยคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินจะมีการหารือเพื่อประเมินสถานการณ์โดย ตลอดว่า ทำอย่างไรการชุมนุมได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งไม่สามารถกำหนดเวลา หรือสถานที่ในตอนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เห็นว่า การกดดันในพื้นที่นี้รัฐบาลก็ลำบากอยู่แล้ว พยายามกดดันกลั่นแกล้งเราโดยตลอด ส่วนกรณีหมายเรียกจากทางตำรวจนั้น ตนยังไม่ได้รับ

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีทางเลือก 2 ทาง คือ ลาออกไป หรือสลายการชุมนุม ซึ่งนักการเมืองยอมเลือกทางที่จะสลายเราอยู่แล้ว เพราะต้องการอยู่ในอำนาจนานๆ แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้มาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่ออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามที่ภาคประชาชนได้ให้เวลามามาก แล้ว ผู้ชุมนุมก็ออกความเห็นว่าให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เมื่อไม่รับผิดชอบเราก็ชุมนุมอยู่เช่นนี้ และถ้ารัฐบาลลาออกไป เราก็ต้องอยู่ให้แน่นอนว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินแล้ว เราจึงจะยุติการชุมนุม ขณะนี้จึงยังไม่สามารถกำหนดเวลาได้

“เราอยู่กันมาเป็นวันที่ 24 ด้วยความเรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องการให้เราออกมาจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายไป เพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว เนื่องจากเรานำเรื่องจริงมาเปิดโปงมีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศ และต่างประเทศ รัฐบาลจึงยอมไม่ได้” พล.ต.จำลอง กล่าว

เสนอให้ซ้อมรบใกล้ชายแดน ให้กัมพูชารู้กำลังทางอากาศ
ผู้สื่อข่าวถามถึงการใช้แสนยานุภาพทางทหารเพื่อกดดันผลักดันให้ กัมพูชาออกจากดินแดนไทยยังมีความจำเป็นหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า มีความจำเป็นทุกขณะ แต่รัฐบาลไม่ทำสิ่งที่เราพูดนี้ไม่ใช่การไปทำร้ายทำลายกัน ต้องเข้าใจว่า ทุกๆ ปีมีการฝึกซ้อมรบที่ต้องเสียงบประมาณอยู่แล้ว เพียงแค่ย้ายที่มาฝึกใกล้ชายแดน เพื่อให้กัมพูชารู้ว่าเรามีกำลังทางอากาศมากกว่าเป็นร้อยเท่า ชาติอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้

ในส่วนการเปิดเวทีนำเสนอข้อมูลที่มีสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เหตุใดเราจึงจะไปทำเรื่องที่ล้มเหลวมาแล้วซ้ำอีก พันธมิตรฯจึงเสนอวิธีที่ให้ความเป็นธรรมสองฝ่าย โดยใช้เวลาเท่ากันในเวลาเดียว ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่ซักถามต้องมีความเป็นกลางไม่อคติ เช่น นักวิชาการที่รับจ้างรัฐบาล 7.1 ล้านบาท มาซักถามเรา

ลั่นเลยเวลาดีเบตแล้ว แต่ใช้วิธีผลัดกันออกสื่อคนละ 3 ชั่วโมงแทน
ส่วนเรื่องการหารือกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เกี่ยวกับการเปิดเวทีนำเสนอข้อมูลข้อพิพาทไทย-กัมพูชา นายปานเทพ กล่าวว่า ทางสมาคมนักข่าวฯเสนอแนวทางจัดเวทีในลักษณะการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับภาค ประชาชน ซึ่งทางพันธมิตรฯเห็นว่า ณ เวลานี้เลยจุดที่จะพูดคุยเจรจา หรือโต้วาทีแล้ว เพราะกระบวนการที่ทำมาทั้งหมดนั้นไม่มีสิ่งใดคืบหน้า ซ้ำร้ายในการจัดดีเบต นายกฯอภิสิทธิ์ กลับใช้เวลาส่วนใหญ่มากกว่าภาคประชาชน และข้อเท็จจริงขณะนี้รัฐบาลได้ใช้สื่อภาครัฐและสื่อกระแสหลักฝ่ายเดียวมา เป็นเวลานาน โดยที่ภาคประชาชนไม่มีพื้นทีทางสื่อเหล่านั้นแม้แต่น้อย

ดังนั้นเราจึงเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้ใช้เวลาของตัวเองเต็มที่ 3 ชั่วโมง คนละวัน โดยที่ไม่ต้องมีใครมาแย้ง โดยสมาคมนักข่าวฯ ควรจัดบุคคลที่เป็นกลางปราศจากอคติ ไม่ใช่ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้แต่มีอคติ รวมทั้งต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีผลประโยชน์จากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าประชาชนได้ประโยชน์จากข้อมูลที่แท้จริง โดยให้ภาคประชาชนที่มีความเห็นขัดแย้งดับรัฐบาลได้มีพื้นที่สื่ออย่างเต็ม ที่

ชี้วีระตัดสินใจขออภัยโทษเพราะแม่ที่อายุมากเป็นห่วงบุตรชาย
ส่วนกรณีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาออกมาระบุการอภัยโทษ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ไม่สามารถทำได้เนื่องจากตามกฎหมายกัมพูชาต้องมีการรับโทษ 2 ใน 3 ของโทษทั้งหมดก่อนจะขออภัยโทษได้ นายปานเทพ กล่าวว่า ถือเป็นวิธีที่ไม่ต้องการให้ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ออกมาพูดว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงการพิจารณาคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ กรณี นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ก็ได้รับการปล่อยตัวโดยที่ไม่ต้องรับโทษแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับระเบียบที่ต้องรับโทษก่อน 2 ใน 3 แต่เกี่ยวกับความพึงพอใจ และการทำอำเภอใจของนายฮุนเซนเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง สิ่งที่น่าเสียใจ คือ รัฐบาลไทยไม่พยายามกดดันเพื่อให้กัมพูชาทำตามที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ที่ว่าไม่ว่ากรณีใดคนไทยต้องขึ้นศาลกัมพูชา เพราะมีข้อตกลงกันอยู่ ผลลัพธ์ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ไม่เด็ดขาดในการกดดัน

นายปานเทพ กล่าวว่า นายฮุนเซน คงใช้วิธีการบีบคั้นจิตใจ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ให้ยอมสารภาพว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ยอม และไม่รับว่าอยู่ในพื้นที่กัมพูชา ที่สำคัญศาลกัมพูชาเป็นเรื่องการเมืองที่นายฮุนเซนจะสั่งการอย่างไรก็ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล ดังนั้น จะสู้อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ต้องออกมาตรการกดดันที่ชัดเจนให้กัมพูชาทำตามที่ได้ ตกลงกันไว้ เมื่อถูกบังคับให้กล่าวเท็จยอมรับว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา โดยใช้ข้อแลกเปลี่ยนว่ามิเช่นนั้นจะต้องถูกจำคุก 6 ปี หรือ 8 ปี เป็นการบังคับขู่เข็ญโดยแท้ อย่างไรก็ตาม เราเห็นใจ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ที่ยืนหยัดการต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง แต่เพราะคุณแม่ของนายวีระก็อายุมากแล้ว เกิดความเป็นห่วงบุตรชาย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายวีระตัดสินใจ โดยที่รัฐบาลไทยไม่ช่วยเหลือใดๆ แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างการแปลคำพิพากษา หรือการทำงานของทนาย ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล เป็นการกลั่นแกล้งคนไทยที่เจตนาดีในการพิสูจน์ว่า ราษฎรไทยถูกกัมพูชารุกที่จริง เป็นการสำแดงอำนาจทางศาลเหนือดินแดนไทย ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือมากกว่านี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท