Skip to main content
sharethis

 

วานนี้ (7 มี.ค.54) คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ได้ออกจดหมาย กรณี “การจำกัดเพดานถือครองที่ดินกับนิติบุคคล” ระบุ 5 ประเด็นตอบข้อซักถามของนายกรัฐมนตรีและหลายฝ่ายในสังคมว่า ข้อเสนอของ ครป.ที่ให้จำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ที่ถือครองที่ดินทุกกลุ่มถือครอง และใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการผลิต เพิ่มผลผลิตและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเกษตรกรรายย่อย รายใหญ่และกลุ่มธุรกิจการเกษตร ให้มีความสามารถในการแข่งขัน โดยไม่มีจุดประสงค์ที่จะทำให้บุคคลหรือองค์กรกลุ่มใดได้รับความเสียหาย

จดหมายระบุด้วยว่าการปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรมุ่งเน้นกระจาย การถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรให้กับผู้ที่ทำการเกษตรด้วยตนเองอย่างเป็น ธรรมและทั่วถึง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสนับสนุนการเกษตรทั้งระบบอย่างครบวงจรให้ประสบความ สำเร็จ ด้วยการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียว อย่างจริงจังไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งต้องครอบคลุมนิติบุคคล องค์กร บริษัทขนาดเล็กขนาดใหญ่ต่างๆ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐด้วย ในส่วนการทำการเกษตรขนาดใหญ่ในรูปสหกรณ์หรือบริษัท สามารถทำได้และพัฒนาได้ เพียงแต่จะต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอ

ทั้งนี้จดหมาย ตอบข้อซักถามถึงรัฐบาลดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้

การจำกัดเพดานถือครองที่ดินและนิติบุคคล
คณะกรรมการปฏิรูป

มีนาคม ๒๕๕๔

สืบเนื่องจากที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อซักถามถึงการนำมาตรการการจำกัดการ ถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ ที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอจะมีผลบังคับใช้สำหรับนิติบุคคลหรือองค์กร รวมถึงมีหลายฝ่ายในสังคมก็ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการถือครองที่ดิน สำหรับการเกษตรขนาดใหญ่ คณะกรรมการปฏิรูป จึงขอนำเสนอคำตอบข้อซักถามของนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำกัดเพดานถือครอง ที่ดินกับนิติบุคคล เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบและพิจารณาไปพร้อมกันด้วย โดยคำตอบข้อซักถามดังกล่าวมีเนื้อหาข้อความดังต่อไปนี้

  1. รูปแบบการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ทั้งส่วนบุคคล สหกรณ์ บุคคลที่ทำพันธะสัญญากับบริษัท และบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งหน่วยงานของรัฐด้วย ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นี้มีทั้งเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นนิติบุคคล
  2. ข้อเสนอจำกัดการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรครัวเรือนละไม่เกิน 50 ไร่ มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ที่ถือครองที่ดินทุกกลุ่มดังกล่าว ข้างต้น ได้ทำการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างแท้จริง อันจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการผลิต การเพิ่มผลผลิต การบริหารจัดการในระบบการผลิตและการตลาดที่ดี มีความก้าวหน้า มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเกษตรกรรายย่อย เกษตรกรรายใหญ่และกลุ่มธุรกิจการเกษตรให้เหลือน้อยลง และมีความสามารถในการแข่งขัน โดยมิประสงค์ที่จะไปทำให้บุคคลหรือองค์กรกลุ่มใดต้องเสียหาย โดยเฉพาะนิติบุคคลในรูปบริษัท สหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นๆ ที่เขาทำดีอยู่แล้ว
  3. คณะกรรมการปฏิรูปเห็นว่าขนาดการถือครองที่ดินขนาดเล็กหรือใหญ่ มิได้บ่งชี้ถึงผลิตภาพการเกษตร และไม่ได้บ่งชี้ว่าประเทศจะขาดแคลนผลิตผลการเกษตรเพื่อส่งออกสร้างรายได้ แต่ความเข้มแข็งและความสามารถของเกษตรกรและภาคธุรกิจต่างหากที่จะนำไปสู่การ เพิ่มผลผลิตทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารและความมั่งคั่งของประเทศชาติในอนาคตอัน ใกล้
  4. การปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรจึงมุ่งเน้นกระจายการถือครอง ที่ดินเพื่อการเกษตรให้กับผู้ที่ทำการเกษตรด้วยตนเองอย่างเป็นธรรมและทั่ว ถึง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสนับสนุนการเกษตรทั้งระบบอย่างครบวงจรให้ประสบความ สำเร็จ ด้วยการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียว และทำให้จริงจังไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีข้อยกเว้น
    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องครอบคลุมนิติบุคคล องค์กร บริษัทขนาดเล็กขนาดใหญ่ต่างๆ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นช่องว่างให้มีการหลบเลี่ยงได้ และการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรโดยรวมประเทศก็จะไม่ได้ผล
  5. การทำการเกษตรขนาดใหญ่ในรูปสหกรณ์หรือบริษัท ซึ่งมีอยู่จำนวนหนึ่งนั้น ก็สามารถกระทำได้และพัฒนาได้ เพียงแต่จะต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอ* หรือสามารถปรับปรุงวิธีการจัดการเสียใหม่ โดยแทนที่จะถือครองที่ดินจำนวนมากแล้วใช้วิธีจ้างเกษตรกรเป็นลูกจ้างทำแทน โดยจ่ายค่าแรงราคาถูก ก็สามารถปรับเปลี่ยนมาเป็นวิธีกระจายที่ดินออกไปให้เกษตรกรรายย่อยในท้อง ถิ่นเป็นผู้ถือครองที่ดิน แล้วบริษัทใช้หลักธุรกิจในการบริหารจัดการให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน เสนอแผนการผลิตการตลาดที่จูงใจเกษตรกรทำการผลิต ทำสัญญาว่าจ้างที่เป็นธรรมและไม่เอารัดเอาเปรียบ และได้ผลตอบแทนจากการผลิตและการตลาดที่เป็นธรรมด้วย

วิธีการใหม่นี้จะช่วยให้ทั้งบริษัทและเกษตรกรรายย่อยเป็นเจ้าของกิจการ ด้วยกัน ทำกิจการร่วมกัน รับภาระความเสี่ยงที่ทัดเทียมกัน และช่วยกันแก้ไขปัญหาอุปสรรค จะได้เติบโตก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน ถึงจะเร็วบ้างช้าบ้างก็เป็นไปตามความรู้ความสามารถของตนแต่ไม่ใช่ร่ำรวย เพราะมีอำนาจเหนือผู้อื่นและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่เป็นธรรม

ในกรณีสหกรณ์ซึ่งใช้หลักการบริหารจัดการร่วมกันอยู่แล้ว ก็สามารถใช้เพดานการถือครองที่ดินเป็นหลักในการจัดสรรที่ดินให้สมาชิกทำกิน ได้ ตัวอย่างเช่น หากสหกรณ์มีสมาชิกเกษตรกรทั้งหมด 2,000 คน แต่มีสมาชิกที่ทำกินในที่ดินด้วยตนเองจำนวน 100 คน ต้องการถือครองที่ดินเพื่อทำการเกษตรในนามสหกรณ์ สหกรณ์ก็จะถือครองที่ดินในนามสมาชิก 100 คนๆละ 50 ไร่ รวมกันได้ไม่เกิน 5,000 ไร่ เป็นต้น

เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวโดยไม่เลือกปฏิบัติลักษณะนี้เชื่อว่าจะทำให้การ เกษตรทุกกลุ่ม ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ เติบโตได้ โดยไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เกษตรกรรายใหญ่หรือบริษัทขนาดใหญ่ไม่สามารถใช้อำนาจทุนและอำนาจรัฐเหนือใน การจัดสรรทรัพยากรและอยู่เหนืออำนาจตลาด เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจต่อรอง เพราะมีการกระจายที่ดินให้เกษตรกรผู้ผลิตเป็นเจ้าของที่ดิน กลุ่มธุรกิจการเกษตรหรือบริษัทการเกษตรขนาดใหญ่และเกษตรกรรายย่อยจะมีฐานะ เป็นหุ้นส่วนเพื่อนร่วมงาน ซึ่งต่างจากสภาพนายจ้างลูกจ้างในไร่นาดังที่เคยเป็น จึงเป็นการส่งเสริมรูปแบบสหกรณ์หรือความร่วมมือกันเพื่อสร้างผลผลิตสร้างราย ได้และกระจายรายได้ให้ทั่วถึงและเป็นธรรมทั่วหน้ากัน

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net