ต้นทุนของรัฐที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางในระดับร้อยละ 1.26 ของ GDP สะท้อนให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เพราะโดยเปรียบเทียบแล้ว กระบวนการยุติธรรมไทยใช้ทรัพยากรทั้งงบประมาณและบุคลากรมากกว่าประเทศอื่นๆ หลายประเทศ ล่าสุด ทีดีอาร์ไอได้เสนอ 3 แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมไทย โดยยกเลิกโทษอาญาในกฎหมายบางฉบับ การไกล่เกลี่ยในคดีที่ยอมความกันได้ และการใช้โทษปรับแทนการจำคุกในคดีความผิดไม่ร้ายแรง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการยุติธรรมได้เกินกว่าปีละ 2 พันล้านบาท
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ดำเนินการโครงการการวิเคราะห์กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วย เศรษฐศาสตร์ โดยมี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานทีดีอาร์ไอ เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อหาข้อเสนอแนะทางนโยบายในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ ยุติธรรมไทย
การศึกษาพบว่า ระบบยุติธรรมทางอาญาของไทยประสบปัญหาการขาดประสิทธิภาพตลอดทั้งกระบวนการ เช่น ทุกๆ ปี ศาลยุติธรรมจะต้องรับคดีเข้าสู่การระบบมากเกินกว่าที่จะสามารถพิจารณาให้ เสร็จสิ้นลงได้ จึงมีคดีคั่งค้างในศาลจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และการที่มีนักโทษอยู่ในคุกมากกว่าที่สามารถรองรับได้ร้อยละ 70 การขาดประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาดังกล่าวมิได้ก่อให้เกิดต้น ทุนที่สูงต่อรัฐในรูปของการสูญเสียงบประมาณเท่านั้น แต่ยังสร้างต้นทุนที่สูงต่อสังคม และทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับความยุติธรรมอย่างล่าช้า จนในบางกรณีถึงขั้นไม่ได้รับความยุติธรร
ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการออกแบบกฎกติกาต่างๆ ที่ทำให้เกิดแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสมหลายประการ โดยเฉพาะการใช้กระบวนการทางอาญาเป็นหลักในการระงับข้อพิพาท เช่นใช้โทษอาญากับการใช้เช็คแทนที่จะใช้กลไกทางธนาคารหรือกลไกอื่น และการกำหนดโทษปรับในกฎหมายต่ำเกินกว่าระดับที่เหมาะสมมาก ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ศาลมักลงโทษผู้กระทำความผิดด้วยการจำคุกมากกว่าการปรับ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากกลไกในการกลั่นกรอง (screening) และเบี่ยงเบนคดีที่เข้าสู่ระบบ (diversion) ที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอคณะผู้วิจัยได้จัดทำแบบจำลองเพื่อศึกษาต้นทุนของ คดีอาญา พบว่า คดีอาญาที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นจะมีต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 7.7 หมื่นบาท และใช้แบบจำลองดังกล่าวศึกษาถึงความเหมาะสมของทางเลือกต่างๆ ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา พบว่า แนวทางในการปฏิรูปที่มีผลในการลดต้นทุนของกระบวนการยุติธรรมได้มากที่สุดตาม ลำดับ คือ หนึ่ง การยกเลิกโทษทางอาญาในกฎหมายบางฉบับ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 และกฎหมายหมิ่นประมาท สอง การสนับสนุนการไกล่เกลี่ยในคดีที่ยอมความกันได้ และสาม การใช้โทษปรับแทนการจำคุกในคดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง ทั้งนี้ แนวทางการปฏิรูปทั้ง 3 แนวทางจะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการยุติธรรมได้รวมกันเกินกว่าปีละ 2 พันล้านบาท
สรุปต้นทุนของรัฐที่ลดลงจากการปฏิรูปตามแนวทางต่างๆ
ข้อเสนอปฏิรูป |
ต้นทุนต่อคดี (บาท) |
จำนวนคดีในศาลชั้นต้นที่ลดลง (ร้อยละ) |
ต้นทุนที่ลดลง (ล้านบาทต่อปี) |
กรณีฐาน (สภาพปัจจุบัน)
|
76,612
|
-
|
-
|
1. การยกเลิกโทษอาญา
|
|
|
|
1.1 ยกเลิกโทษอาญาคดีเช็ค-หมิ่นประมาท
|
7,995
|
3.06
|
1,189
|
1.2 ยกเลิกโทษอาญาในกฎหมายอื่น
|
48,574
|
1.33
|
210
|
2. การไกล่เกลี่ยในคดีที่ยอมความกันได้
|
62,593
|
7.01
|
520
|
3. การให้อัยการเป็นผู้ฟ้องแทนผู้เสียหาย
|
76,612
|
0.21
|
33
|
4. การให้ศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีที่อัยการฟ้อง
|
76,612
|
0.07
|
11
|
5. การใช้โทษปรับแทนการจำคุก
|
55,778
|
0.00
|
605
|
6. การลดดุลพินิจในการให้ฎีกา
|
75,328
|
0.00
|
9.6
|
ที่มา: การประมาณการโดยคณะผู้วิจัย
ในประเด็นการใช้โทษปรับในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญานั้น คณะผู้วิจัยมีข้อเสนอเพิ่มเติมว่า โทษปรับที่ถูกกำหนดขึ้นอย่างเหมาะสม จะมีประสิทธิผลในการป้องปรามการกระทำความผิดได้ โดยไม่ก่อให้เกิดต้นทุนในระดับสูงต่อสังคม แนวทางหนึ่งในการเพิ่มบทบาทของโทษปรับในประเทศไทยคือการนำเอาโทษปรับตามราย ได้ (day fines) มาใช้คดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้โทษปรับระหว่างคนรวยและ คนจน และปัญหาการที่โทษปรับมีระดับคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับค่าครองชีพ ทั้งนี้ การใช้โทษปรับควรได้รับการหนุนเสริมด้วยโทษบริการสังคมในกรณีที่ผู้กระทำ ความผิดไม่สามารถชำระค่าปรับได้ ส่วนโทษจำคุกนั้นควรใช้เฉพาะในกรณีที่มีการทำความผิดร้ายแรงเท่านั้น.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)