“ณัฐวุฒิ” อัดรัฐบาลใช้วาทกรรมอำมหิต “ขอคืนพื้นที่” แต่เอาปืนออกมาฆ่าประชาชน

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เผยไม่เข้าใจว่าผ่านมาแล้ว 1 ปี รัฐบาลยังอยู่ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ ขณะที่ตอน 14 ตุลา – 6 ตุลา – พฤษภา 35 ผู้เข่นฆ่าล้วนต้องพ้นจากตำแหน่ง ชี้ผู้มีอำนาจจะกำหัวใจประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของประชาชนมีแต่รอยแผลจากมือของท่าน เป็นแผลที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำอีก ในการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือคนเสื้อแดง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 54) นั้น เมื่อเวลา 23.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในช่วงแรกนายณัฐวุฒิกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อ 1 ปีก่อนว่า ตั้งแต่บ่ายของวันที่ 10 เมษายนปีที่แล้ว พวกผมประสานกับพรรคพวกที่เวทีผ่านฟ้าฯ รู้ว่าทหารกำลังจะเคลื่อนกำลังมา ขวัญชัย ไพรพนาพาพี่น้องชาวอุดรธานีและคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปสกัดที่หน้ากองทัพภาคที่ 1 ดันกันไปดันกันมา สถานการณ์เวลานั้นจุดเริ่มต้นยังไม่มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเหตุการณ์กลืนชีวิตคนไทยเกือบ 30 ชีวิต ในเวลาต่อมา พวกผมอยู่ราชประสงค์ ประเมินสถานการณ์ว่าเป้าจริงๆ วันนั้นคือราชประสงค์ เพราะรัฐบาลพูดตลอดว่าให้ยุบราชประสงค์แล้วมารวมผ่านฟ้าอย่างเก่า (ข่าวที่เกี่ยวข้อง) หมายความว่า เขาไม่ต้องการผ่านฟ้า ต้องการราชประสงค์ ในการใช้วาทกรรมที่อำมหิตและหน้าด้านที่สุดในโลก เอาปืนออกมาฆ่าประชาชนแล้วบอกว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ พี่น้องที่เคารพ ไม่เคยมีรัฐใดในโลก ไม่เคยมีผู้ปกครองใดในโลก เพียงแค่ต้องการถนนคืน ต้องฆ่าประชาชนเกือบ 30 ชีวิต แล้วอ้างว่านี่เป็นการขอคืนพื้นที่ คุณต้องการพื้นที่คืน ฆ่าประชาชน แต่ประชาชนออกมากลางถนน บอกว่าต้องการอำนาจอธิปไตยของพวกเขาคืน คุณไม่สนใจใยดีแล้วชี้หน้าว่าพวกนี้ผู้ก่อการร้ายมันสมควรตาย ไม่มีรัฐใดในโลกทำอย่างนี้กับประชาชน นอกจากรัฐไทยแห่งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ตนนั่งคิดระหว่างนั่งรถยนต์จากสี่แยกราชประสงค์มายังสะพานผ่านฟ้า ถึงทางเลือก 2 ทาง นั่นคือ หนึ่ง ถ้าตนปลุกให้พี่น้องเสื้อแดงเผชิญหน้าเจ้าหน้าที่รัฐต่อไป รัฐบาลก็อาจต้องโค่นล้มลงภายในเช้ามืดวันที่ 11 เมษายน แต่คำถามที่ตามมาก็ได้แก่ ถ้าเดินต่อไปจะต้องตายกันอีกกี่คน? เป็นใครบ้างที่ต้องตาย? ถ้าประชาชนต้องตาย จะตัดสินได้ไหมว่าจะให้ใครตาย? แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะยืดอกรับชัยชนะได้อย่างไร หรือ สอง ตนต้องพยายามหยุดการเข่นฆ่าและหยุดการสูญเสียทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตนก็เลือกทางเดินที่ 2 ด้วยการตัดสินใจยุติการปะทะกับฝ่ายรัฐบาล แต่ที่ตนเสียใจก็คือ ภายหลังจากตนถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กลับปรบมือให้แก่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในที่ประชุมของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย เพราะเห็นว่าการสลายการชุมนุมของรัฐบาล จนส่งผลให้ประชาชนต้องล้มตายไปเกือบ 100 ศพนั้น ถือเป็นชัยชนะ นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนปีก่อน มีนายทหารและทหารชั้นประทวนต้องเสียชีวิต ซึ่งคนเสื้อแดงก็เสียใจกับการสูญเสียดังกล่าว กับความตายของพวกคุณ เราไม่ได้สะใจ ไม่ได้อยากให้คุณตายเพิ่ม ไม่ใช่ว่าประชาชนตาย 20 ทหารต้องตาย 30 ไม่ใช่ เราจะประสงค์ความตายของคุณไปเพื่ออะไร ในเมื่อรากแท้ของคุณคือประชาชน คุณคือพวกเดียวกับเราตั้งแต่ต้น แต่กลายเป็นว่า คนเสื้อแดงมันเป็นพวกป่าเถื่อน กลายเป็นว่าคนเสื้อแดง เป็นพวกกระหายเลือด กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงมันเป็นคนที่จะเอาชัยชนะโดยไม่เลือกวิธีการ ทำแม้แต่กระทั่งการฆ่าทหาร ฆ่าเจ้าหน้าที่ แล้วฆ่ากันเองเพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมือง “ผีห่าซาตานตนไหน ไปเข้าสิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้นายชวน หลีกภัย ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีความคิดเช่นนี้ แล้วพูดออกมาเช่นนี้ พูดได้อย่างไรว่าเสื้อแดงที่ตายเพราะฆ่ากันเอง เพราะวิ่งเข้าไปหากระสุน พูดได้อย่างไร หัวใจของพวกคุณเป็นผีห่าซาตานหรืออย่างไร” และผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นรัฐบาลที่สั่งฆ่าประชาชน เหตุการณ์ผ่านมา 1 ปี รัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ได้ ไม่มีแม้แต่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่ยังอยู่ในตำแหน่ง ยังยืดหน้าชูคอ ในฐานะนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เล่นเกมเอาล่อเอาเถิดกับประชาชน เดี๋ยวจะยุบวันนั้น เดี๋ยวยุบวันนี้ ราวกับเป็นว่าการตัดสินใจยุบสภาของนายอภิสิทธิ์บุญเป็นคุณกับประชาชนประเทศนี้เหลือนี้เหลือเกิน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านเมืองถึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้ ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ผู้เข่นฆ่าประชาชนล้วนต้องพ้นจากตำแหน่งไป แต่ในเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ผู้เข่นฆ่าประชาชนกลับไม่หลุดพ้นจากตำแหน่ง และยังลอยหน้าลอยตาเหยียบหัวใจคนไทยมาได้ 1 ปีเต็ม คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ คุณมีดีอะไร แบกใหญ่มากหรือยังไง แบกใหญ่ๆ ที่ว่า ฆ่าประชาชนได้โดยไม่ต้องชายตาแลหรืออย่างไร เหล่าอำมาตยาธิปไตยไม่มีตาแลเห็นชะตากรรมของคนไทยหรืออย่างไร ผมเรียนพี่น้องว่า คนที่เขาเป็นญาติวีรชน ที่ลูกผัว ลูกหลานเขาตาย ที่มากอดรูปถ่ายยืนเต็มเวที ท่านรู้ไหม พวกเขาเจ็บปวดกับชะตากรรมของคนที่เขารัก พวกเขาน้อยอกน้อยใจคับแค้น กับท่าทีของผู้มีอำนาจที่ก่อเหตุแล้วไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ แต่พวกเขาไม่เคยมีแม้แต่เสี้ยวสายตา ที่จะแสดงอาการตัดพ้อต่อว่าคนเสื้อแดง พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากแกนนำ พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากมวลชน พวกเขาไม่เคยเรียกร้องทั้งๆ ที่เขามีสิทธิและความชอบธรรมที่จะเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพราะเราชวนเขามาสู้ ไม่ได้ชวนเขามาตาย แต่เมื่อเขาตาย หัวใจที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวพวกเขามีแต่กัดฟันยิ้ม ยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันไหล มีแต่บอกขอบอกขอบใจเมื่อเราเข้าไปปลอบโยน และมีแต่บอกว่าภูมิใจกับญาติพี่น้อง กับคนในครอบครัว ที่ตายไป แล้วคนที่อยู่จะสู้ต่อไป นี่คือความยิ่งใหญ่ของหัวใจประชาชน แล้วพวกคุณฆ่าหมดหรือครับ รัฐบาล คุณจะฆ่าอีกกี่ชีวิตเพื่อชัยชนะของคุณ แล้วผมอยากบอกให้คุณเข้าใจว่าที่คุณฆ่า คุณฆ่าได้แต่เพียงร่างกาย คุณหยุดได้แต่ลมหายใจ แต่คุณแต่ฆ่าอุดมการณ์และจิตวิญญาณต่อสู้ของประชาชนไม่ได้ เพราะมันได้ลุกขึ้นแล้ว มันได้เติบโตแล้ว มันขยายตัวไปแล้วทั้งแผ่นดิน นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น ตนรู้สึกเจ็บปวด เพราะเห็นประชาชนถูกฆ่า แต่ในวันที่ 10 เมษายน 2554 ตนกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เพราะคนถูกฆ่ายังไม่ได้รับความยุติธรรมแต่อย่างใด นอกจากนี้แผลที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน และเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2553 ยังถือเป็นแผลเดิมที่ถูกซ้ำเติมจากเหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ 17 พฤษภา และสงกรานต์เลือด 2552 \ผู้มีอำนาจจะกำหัวใจประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของประชาชนมีแต่รอยแผลจากมือของท่าน เป็นแผลเก่าที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำอีก\" นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า ผู้มีอำนาจต้องคิดให้ได้ว่าจะดำรงตนข้ามผ่านความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยไปได้อย่างไร โดยไม่เหยียบหัวใจประชาชน โดยในตอนท้ายการปราศรัย นายณัฐวุฒิได้ตะโกนว่า \"ประชาชนถูกฆ่าตาย ประชาชนถูกยิงในเขตอภัยทาน\" ซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบ เป็นเวลากว่า 10 นาที โดยผู้ชุมนุมได้ปรบมือและโห่ร้องเป็นการขานรับ ที่มา: เรียบเรียงจาก มติชนออนไลน์ และ Asia Update อัพโหลดโดยคุณ Tuxillaplanet"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท