มุกหอม วงษ์เทศ: ท่าทีเบื้องต้นกับข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อการปฏิรูปอุดมการณ์และวัฒนธรรมกษัตริย์นิยม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

“ประเทศไทยมีเสรีภาพทางความคิดไม่ได้”* เป็นวรรคทองแห่งประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ที่ตรงเป้าที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด และจริงแท้ที่สุด อย่างไรก็ตามหากเป็นเมื่อราวหกเจ็ดปีก่อน นึกอย่างไรข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าจะมีวันที่การต่อต้านท้าทายกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยเปิดเผย, แต่ในระดับ ท่วงท่า และการเมืองของการแสดงจุดยืนที่แตกต่างกัน, สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ ในสังคมไทย สังคมที่ดูราวกับจะดื่มด่ำกับการดำดิ่งอยู่ในยุคดำมืดไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์ เมื่อความตื่นตัวตาสว่างแพร่ระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า, เมื่อประชาชนนับร้อยถูกทหารยิงเจ็บยิงตายกลางเมือง, เมื่อผู้บงการและผู้ปฏิบัติงานยังยิ้มแย้มแจ่มใสในความเป็นคนดีผีคุ้ม, เมื่อสื่อส่วนใหญ่ยังร่วมมือร่วมใจใส่ร้ายป้ายสี, เมื่อคนเสื้อแดงยังถูกจับกุมคุมขังแบบไร้ขื่อไร้แป, เมื่อความมีอารยธรรมถูกบิดเบือนตลบแตลงให้เป็นอาชญากรรม ฯลฯ การต่อสู้กับความวิปริตวิตถาร ไล่ล่าหาความยุติธรรม และเรียกร้องกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในระดับโครงสร้างย่อมเป็นพันธกิจแห่งยุคสมัยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แน่นอน, พันธกิจนี้ไม่ใช่ของทุกคน ไม่สามารถเรียกร้องจากทุกคน และไม่จำเป็นต้องกำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานให้เท่ากันทุกคน แต่การมีใจที่จะเห็นความชอบธรรมของพันธกิจนี้ และการไม่เข้าไปร่วมหนุนเสริมพลังฝ่ายจารีตนิยมที่กระเหี้ยนกระหือรือในการบ่อนทำลายและกวาดล้างพลังแห่งความเป็นสมัยใหม่ ย่อมเป็นการทำความเข้าใจขั้นต้นและการวางตนขั้นต่ำที่ทุกคนพึงมีพึงกระทำ ในทำนองเดียวกับการเรียกร้องประชาธิปไตยอันมีการเลือกตั้งเป็นประธานซึ่งเป็นการเรียกร้องความศิวิไลซ์แบบสมัยใหม่ขั้นพื้นฐานเพื่อจะทะลวงออกไปจากวัฒนธรรมการเมืองแบบศักดินานิยมอันไร้ความศิวิไลซ์ ถึงปัจจุบันขณะนี้การเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ได้กลายเป็นการแสดงท่าทีเบื้องต้นหรือการแสดงจุดยืนขั้นต่ำสุดของการสลัดตัวออกจากปลักตมของวัฒนธรรมขวาจัดอนุรักษ์นิยมจัดอำนาจนิยมจัดซึ่งสำแดงความสถุลสามานย์และสกปรกโสโครกเกินกว่าใครก็ตามที่มีสติสัมปัชชัญญะและมโนธรรมจะรับได้ ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยก็คล้ายกับจะบังเกิดฉันทามติในระดับหนึ่งว่า การมีอยู่และจารีตการบังคับ-แอบอ้าง-มั่วใช้กฎหมายรอยัลลิสต์อันแสนอนารยะมาตรานี้ได้สร้างภาวะยุคเข็ญในบ้านเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่มีเหตุผลใดนอกจากความไร้เหตุผลจะโต้แย้งข้อเท็จจริงและความจริงที่แยงทะลุดวงตาทุกข้างที่ไม่บอดว่า กฎหมายหมิ่นฯ เป็นภัยสูงสุดต่อความมีอารยะของสังคมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกอาชีพและที่ไม่มีอาชีพ หากจะแถมข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรด้วย ก็ควรจะเข้าข่ายเช่นกัน ทว่าก็เช่นเดียวกับขบวนรถไฟสายก้าวหน้าแทบทุกขบวน ทุกคนที่กระโดดขึ้นไม่จำเป็นต้องหล่อเลี้ยงอุดมการณ์ชนิดหนึ่งชนิดใดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งยังอาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทาง คนละข้างคนละขั้วในเรื่องสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันซึ่งมีลักษณะของความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตยอยู่อย่างเด่นชัด และในเรื่องขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมของประชาชนคนเสื้อแดง หากในที่สุดแล้ว ผลสัมฤทธิ์ของการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับจำนวนเป็นสำคัญ การรณรงค์ทางการเมืองก็จำเป็นต้องอาศัยจำนวนเพื่อผลักดันประเด็นข้อเรียกร้องเช่นกัน นี่ย่อมเป็นย่างก้าวสำคัญที่การเล็งเห็นปัญหาเกี่ยวกับความเป็นการเมืองของสถาบันกษัตริย์เริ่มมีที่ทางมากขึ้นทีละน้อย ไม่ว่าการออกมาลงชื่อเรียกร้องของแต่ละปัจเจกบุคคลจะเกิดจากแรงผลักดัน แรงกดดัน หรือแรงจูงใจที่แท้จริงอะไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุด - จดหมายเปิดผนึกถึงนักเขียนไทยให้ร่วมลงชื่อเรียกร้องการแก้ไขมาตรา 112 ต้องไม่ลืมด้วยเช่นกันว่า การเลือกที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองที่เฉพาะเจาะจงอย่างหนึ่ง เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในสภาวะทางการเมืองที่ยุ่งเหยิงซับซ้อน ย่อมหมายถึงการเลือก-หรือได้ใช้โอกาสในการเลือกนั้น-ที่จะไม่ต้องแสดงจุดยืนทางการเมือง แบบอื่น ในกระแสการเคลื่อนไหวขับเคี่ยวทางการเมืองที่เกี่ยวโยงกันแต่ทว่าสร้างความกระอักกระอ่วนใจกว่า อาทิ ขบวนการเสื้อแดง ซึ่งหลายคนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเป็นพวกเรียกร้องประชาธิปไตยและความเสมอภาคทางการเมืองจนถูกล้อมปราบ หรือเป็นพวกถูกหว่านล้อมชักจูงจากนักการเมืองฝ่ายทักษิณจนออกมาเผาบ้านเผาเมือง หลายคนหลับหูหลับตาปักใจว่า คือพวกหลังร้อยเปอร์เซ็นต์ และหลายคนก็เห็นอกเห็นใจว่าน่าจะเป็นพวกแรกมากกว่าพวกหลัง แต่ไม่อยากแปดเปื้อนกับภาพลักษณ์ความเกี่ยวโยงกับ “ทักษิณ”, ความเป็น “นักการเมือง” และ “ชาวบ้าน” ที่เต็มไปด้วย “ความไม่ถูกต้องทางการเมือง” รวมทั้งความเป็น “เสื้อแดง” เองที่ถูกรังเกียจจงเกลียดจงชังจากสังคมกระแสหลักและกระแสครอบงำ สรุปอย่างสั้น การเชิดชูเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการต่อต้านวัฒนธรรมอำนาจนิยมขวาจัด-ล้าหลังคลั่งชาติคลั่งเจ้าจัดค่อยๆ สั่งสมบารมีจนกลายเป็น “ท่าทีเบื้องต้น” หรืออาจกระทั่งเป็น “เทรนด์” ที่นักฉวยโอกาสผู้มีธาตุแท้เป็นพวกชิงชังเสรีประชาธิปไตยสบช่องที่จะมุดแทรกเข้าไปร่วมประกาศตัวเพื่อขอรับเหรียญตราด้วย แต่การเมืองของความเป็นเสื้อแดงและการเมืองของการต่อสู้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงระดับถึงราก ยังไม่ใช่ แม้ว่าแถลงการณ์ของนักเขียนจะเชิดชูสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไม่มากไปกว่าการเชิดชูความเป็นนักเขียนเอง เราก็ไม่ควรดูแคลนเจตนารมย์เพื่อยืนหยัดในความถูกต้องยุติธรรมของใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรดูเบาเจตนาเกาะกระแสสร้างภาพของใครเช่นกัน ในแง่ที่งามที่สุด การร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกของนักเขียนและกวีบางคนคือความกล้าหาญทางจริยธรรมที่น่ายกย่อง แต่ในแง่ที่อัปลักษณ์ที่สุด การร่วมลงชื่อของนักเขียนและกวีบางคนเป็นเพียงการชุบตัว ฟอกตัว และสร้างตัว ท่ามกลางสภาวะฝุ่นตลบในสมรภูมิที่ฝุ่นใต้ตีนเผยอตนทำตัวเป็นตีนไล่เหยียบไล่ขยี้คนที่ไม่ยอมเป็นฝุ่น แนวหน้าหรือหัวหมู่ทะลวงฟันของการผลักดันประเด็นทางสังคมการเมืองไปสู่ขอบฟ้าใหม่ หากไม่ radical เกินไปจนถูกปัดตก ถอยหนี หรือเมินเฉยไปเสียแต่แรก ก็จะค่อยๆ ขยายแนวร่วมให้กว้างขวางและหลากหลายขึ้นจนเป็นตัวกำหนด “ท่าทีเบื้องต้น” ของแวดวงปัญญาชนโดยรวมซึ่งประกอบไปด้วยผู้คนที่มีอุปนิสัยใจคอและความคิดทางวัฒนธรรมการเมืองหลายเฉด ท่าทีเบื้องต้นของแต่ละยุคสมัยนี้เอง คือมาตรฐานทางจริยธรรมการเมืองที่แสดงออกต่อสาธารณะของฝ่ายก้าวหน้าในยุคสมัยนั้นๆ หากการ “เรียกร้องประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการทหาร” ในการเคลื่อนไหวยุค 14 ตุลาได้สร้างแบบแผนของท่าทีเบื้องต้นของยุคสมัยนั้นขึ้นมาท่ามกลางความหลากหลายทางอุดมการณ์ของขบวนการนักศึกษาและปัญญาชนไทย การเรียกร้องประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่มีการเลือกตั้ง การต่อต้านวัฒนธรรมอำนาจนิยมเผด็จการแบบจารีตและราชการ (เช่น การเซ็นเซอร์ การเทศนาและยัดเยียดมาตรฐานคับแคบทางศีลธรรม ฯลฯ) และการต่อต้านการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างฉ้อฉล ก็คือการแสดงจุดยืนเบื้องต้นร่วมกันของฝ่ายก้าวหน้าในปัจจุบันที่ มิอาจน้อยไปกว่านี้ได้ แน่นอนว่าแค่การเรียกร้องขั้นต่ำสุดให้ “แก้ไข” กฎหมายที่มีปัญหาใหญ่หลวงฉบับนี้ (ซึ่งอันที่จริง ยังไม่ถึงมาตรฐานของสังคมเสรีประชาธิปไตยจริงๆ อีกทั้งมิได้มีลักษณะ radical จนทำให้พวกที่มีความคิดกลางๆ แต่ก็ไม่อยากล้าหลังรับไม่ได้) สำหรับกลุ่มขวาจัด กลุ่มล่าแม่มด และมวลชนนิยมเจ้าซึ่งมีชื่อเสียงระบือลือเลื่องทางด้านการไม่สามารถใช้เหตุผลและความบ้าคลั่งไม่ลืมหูลืมตาแล้ว ก็ยังทนทานไม่ได้จนต้องดาหน้ากันออกมาแสดงความโง่เขลาและป่าเถื่อนให้ควรค่ากับเกียรติภูมิที่สั่งสมมา ส่วนการออกมาคัดค้านจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวของนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วยเหตุผลว่าไม่เคยเห็นกฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และอ้างว่าประเทศอื่นๆ ต่างเสียดายที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์นั้น ได้แต่เพิ่มพูนความน่าสังเวชเวทนาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้กับเกียรติประวัติของนิพิฏฐ์เองเท่านั้น พร้อมทั้งชวนให้พินิจว่าการยุบกระทรวงวัฒนธรรมไปเลยน่าจะช่วยบรรเทาให้สังคมไทยไม่ตกต่ำทางวัฒนธรรมมากไปกว่านี้ แน่นอนอีกเช่นกันว่า การแก้ไขหรือยกเลิกตัวบทกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้า แต่ทว่าการปรับเปลี่ยนแก้ไขวัฒนธรรมอุดมการณ์ซึ่งเป็นรากฐานบ่อเกิดของทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำควบคู่กันไปด้วย ต่อให้ตระหนักว่ายากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขาไกรลาสก็ตาม ในเมื่ออุดมการณ์และวัฒนธรรมเป็นทั้งต้นตอและตัวกำกับโลกทัศน์-ความรู้สึกนึกคิด-พฤติกรรมของปัจเจก วิถีปฏิบัติทางสังคม การบัญญัติ ตีความและบังคับใช้ทาง (นอก) กฎหมาย จารีตประเพณีที่ไม่ได้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ และอะไรต่อมิอะไรอื่นๆ สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณารณรงค์แก้ไขยกเลิกเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หรือความจริงแล้วคือการทำให้การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เป็นไปได้อย่างแท้จริง จึงคือวัฒนธรรมอุดมการณ์กษัตริย์นิยม อันมีฐานมาจากการผสมปนเปกันระหว่างคติพราหมณ์เรื่องสมมติเทพ คติพุทธเรื่องธรรมราชาและทศพิธราชธรรม อุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ผนวกกับชาตินิยมแบบราชการ ประกอบกับการปลูกฝังการเทิดทูนสักการะสถาบันกษัตริย์อย่างหนักหน่วงในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้อุดมการณ์ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีของทุกสังคมวัฒนธรรมในโลกนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์แต่มักยึดมั่นถือมั่นกันว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหรือโองการจากสวรรค์ ขนบธรรมเนียมประเพณีอาจมีความสืบเนื่อง ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่แต่อ้างว่าเป็นของเก่าแก่โบร่ำโบราณ และย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ควรยกเลิกจึงคือขนบธรรมเนียมประเพณีที่กดขี่-ขืนใจ-ขัดแย้งกับหลักสิทธิเสรีภาพและหลักความเสมอภาคสมัยใหม่อย่างมิอาจเคียงขนานไปด้วยกันได้ จารีตประเพณีเหล่านี้มีทั้งที่มีมาแต่โบราณ สร้างขึ้นใหม่ รวมทั้งที่เคยถูกยกเลิกไปแล้วแต่กลับมาได้รับความนิยมใหม่ยิ่งกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น ประเพณีการหมอบคลานเข้าเฝ้าเคยถูกประกาศยกเลิกไปแล้วโดยพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ห้าด้วยเห็นว่าเป็นประเพณีที่เป็นต้นเหตุแห่งการ “กดขี่แก่กันทั้งปวง” ในขณะที่บ้านเมืองที่เจริญกว่าอื่นๆ ต่างยกเลิกกันไปหมดแล้ว แต่ในเวลาต่อมาวัฒนธรรมอุดมการณ์กษัตริย์นิยมที่ถูกโหมกระพือขึ้นในยุคประชาธิปไตยกำมะลอได้ทำให้การหมอบคลานกลายเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงอารยธรรมชั้นสูงอย่างกลับตาลปัตรกับคำประกาศสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การหมอบคลานซึ่งมีชีวประวัติพลิกผันจากความ “อายฝรั่ง” ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กลายมาเป็นความอยาก “อวดฝรั่ง” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 นับเป็นกรณีศึกษาที่มหัศจรรย์ล้ำลึกอย่างเหลือเชื่อ วัฒนธรรมอุดมการณ์กษัตริย์นิยมแบบสุดขั้วดังเช่นที่เป็นอยู่ในสังคมไทยไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดำรงอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ข้อเสนอเพื่อการเลิกหรือลดอุดมการณ์และวัฒนธรรมกษัตริย์นิยม หรืออีกนัยหนึ่ง วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย ให้อยู่ภายในระดับอันเหมาะสมและกอปรด้วยรสนิยมอันดีเยี่ยงนานาอารยะประเทศนี้มิใช่การล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ ตรงกันข้าม การปรับเปลี่ยนทัศนะ วัฒนธรรมและประเพณีปฏิบัติต่อสถาบันกษัตริย์กลับจะทำให้สถาบันกษัตริย์และปวงชนชาวไทยมีความทันสมัยและสง่างามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียเอกลักษณ์ไทยในเวทีสากล เพราะการยังคงมีสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยถือเป็นสิ่งพิเศษสุดอย่างยิ่งยวดในตัวเองอยู่แล้ว นอกเหนือจากการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในด้านสถานะและโครงสร้างอำนาจตามที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลและคณะนิติราษฎร์ได้เสนอไว้อย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อตั้งเป็นหลักในอุดมคติที่ควรไปให้ถึงแล้ว การปฏิรูปหรือยกเลิกอุดมการณ์และวัฒนธรรมกษัตริย์นิยม (ซึ่งแฝงฝังอยู่ในธรรมเนียมประเพณี การอบรมบ่มเพาะ การหล่อหลอมด้านการศึกษา และการสื่อสารมวลชนนั่นเอง) ควรจะครอบคลุมถึงขนบธรรมเนียมทางวัฒนธรรมภาษา แบบแผนอากัปกิริยา ประเพณีพิธีกรรม ฯลฯ ที่เสริมสร้างความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหัวใจของการปลูกฝังคุณค่าในระดับจิตใจ จิตใต้สำนึกและจิตวิญญาณ คติความเชื่อ การใช้ศัพท์เฉพาะ การหมอบคลาน การเกณฑ์คน การเปิด-บรรเลงเพลง ข้อเสนอเบื้องต้นเหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องในส่วนของรัฐบาล หน่วยงานราชการ เอกชน วัด/พระภิกษุ และบุคคลทั่วไปเป็นสำคัญ มิได้เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลในสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนพลเมืองกับสถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ร่วมกันในศีลธรรมและรสนิยมอันดีตามครรลองของนานาอารยประเทศที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ........................................................ * คำกล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท