Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ฟังนโยบายและถ้อยคำหาเสียงของพรรคการเมืองต่าง ๆ ในห้วงเวลานี้แล้ว ให้รู้สึกสะท้อนใจเหลือกำลัง ทั้งพรรคเล็ก พรรคใหญ่ ต่างชูประเด็นทางเศรษฐกิจเป็นหลัก พรรคเล็กนั้นจะชูนโยบายอะไร เอาเข้าจริงก็ต้องฟังพรรคใหญ่ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลอยู่ดี เมื่อพรรคใหญ่สองพรรคมีนโยบายที่จับความได้ว่าจะเดินไปข้างหน้า จะก้าวข้ามความขัดแย้ง พวกเราที่เป็นประชาชนคนเลือก ควรหันมาถามตนเองก่อนเลือกหรือไม่ว่า ข้างหน้าที่เขาจะพาเรามุ่งไปนั้นคืออะไรกันแน่ ? และสิ่งที่จะก้าวข้ามผ่านไป ไม่มีค่าพอให้หยุดคิด เพื่อทบทวนตนเองเลยหรืออย่างไร ? หลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐไทยมุ่งมั่นนำประเทศไปสู่การพัฒนา โดยใช้เศรษฐกิจเป็นธงนำ ตามรูปแบบที่ประเทศซึ่งเชื่อกันว่าพัฒนาแล้วเขาทำกัน นับแต่นั้นมา เศรษฐกิจก็กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคน ค่าของมนุษย์ถูกตีราคาด้วยทรัพย์สิน จนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษาที่มีประสิทธิภาพกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของคนที่ครอบครองทรัพย์สินมาก ๆ จะเลือกผู้นำสักคน ก็ต้องพิจารณาปริมาณทรัพย์สินที่คน ๆ นั้นมีว่ามากน้อยแค่ไหน ในที่สุดทุกอย่างก็ถูกแปรเป็นสินค้าไปเสียทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ศาสนาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดามี รวมทั้งประเพณีโบร่ำโบราณต่าง ๆ ความศักดิ์สิทธิ์ดูกันที่มูลค่า โดยแทบไม่ได้พิจารณาคุณค่าของมันแต่ประการใด สังคมที่มุ่งเน้นแต่มิติทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้ผู้คนต่างต้องแก่งแย่งแข่งขันกันตลอดเวลา น้ำจิตน้ำใจที่เคยมีให้กันก็เหือดหาย กลายเป็นต่างคนต่างอยู่ และเผชิญหน้ากับปัญหาของตนเองแต่เพียงลำพัง คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจเข้มแข็งกว่า เขมือบเอาผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นเหยื่อของตน ตามทฤษฎีผู้แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ทรัพย์สินของคนจนซึ่งโง่กว่าและอ่อนแอกว่า จึงถูกยึดไปเป็นของคนรวย ซึ่งฉลาดกว่าและแข็งแรงกว่า โดยรัฐเองก็รู้เห็นเป็นใจ การพัฒนาที่ไร้รากความศรัทธาต่อคุณงามความดีเป็นฐานในจิตใจ ทำให้ผู้คนพร้อมจะทำลายอะไรก็ได้ เพียงเพื่อให้ตนมีรายได้เพิ่มขึ้น แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ค้ำจุนชีวิตของตนอยู่ก็ตาม เช่น ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแหลกยับไปในวาทกรรมการพัฒนานี้ แม้ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัยจากธรรมชาติ แต่ปัจจัยเหล่านั้นก็ถูกทำลายลงทุกวัน ทั้งจากเหล่านายทุนที่ไม่มีอะไรระงับยับยั้งการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้ และจากคนจนที่ในชีวิตไม่มีทางเลือกมากนัก มีพรรคการเมืองใดบ้างที่หันมามองบาดแผลต่าง ๆ อันเกิดจากการกรีดลึกของคมมีดแห่งการพัฒนานี้ และมีพรรคการเมืองใดบ้างที่มองเห็นบั้นปลายของการพัฒนาในท่วงทำนองเป็นอยู่ การห้ำหั่นกันของนักการเมืองที่อยู่ต่างขั้ว ด้วยถ้อยคำเชือดเฉือนและโวหารคมกริบ เคยทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขมากขึ้นหรือไม่ การแฉโพยความชั่วร้ายของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งสามารถแฉได้ทุกวัน เคยทำให้ความชั่วร้ายลดลงหรือไม่ ? ความจริงคือมันมีแต่เพิ่มความชั่วมากขึ้น เพราะผู้แฉโพยมิได้กระทำการเพื่อยับยั้งลดทอนความชั่ว หากหวังเพียงทำลายฝ่ายศัตรูให้ย่อยยับ และตนจะได้ขึ้นมาครองอำนาจแทน แล้วก็ดำรงความชั่วนั้นต่อไป สภาพการณ์เช่นนี้ สะท้อนภาวะของจิตใจที่ไม่เห็นคุณค่าของความดีงาม เห็นแต่เพียงความสุขจากการได้ครองอำนาจและทรัพย์สินศฤงคาร ไม่เห็นอันตรายของความชั่วร้ายที่ฝังกายอยู่ในสังคม จนคิดจะก้าวข้ามผ่านไป ซ้ำร้ายมองว่าการหันกลับมาทบทวนและจัดการกับสิ่งเหล่านี้จะทำให้การพัฒนาประเทศสะดุดหยุดลงอีกต่างหาก ถามหน่อยเถิดว่าจะเดินไปหาอะไร หากสังคมขาดไร้เสถียรภาพและความยุติธรรม ความรื่นเริงบันเทิงสุขที่มุ่งหวังไขว่คว้าจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หากความพยายามที่จะได้มา ต้องก้าวเดินไปบนซากศพของคนนับร้อยที่ดับดิ้นไป จากการปะทะต่อสู้ของกลุ่มอำนาจสองขั้ว ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อรักษาฐานอำนาจของตน ขณะที่อีกฝ่ายพยายามแย่งชิง เบียดขับ จนแม้จะมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่หากปมเงื่อนที่นำไปสู่ความขัดแย้งมิได้ถูกคลี่คลายไปในทางที่ดี มีความยุติธรรม ก็ยังมองไม่เห็นทางว่าความสามัคคีจะเกิดได้อย่างไร การพัฒนาตามนโยบายที่แต่ละพรรคการเมืองวาดฝันให้ประชาชน ในขณะที่ปมเงื่อนแห่งความขัดแย้งยังดำรงอยู่ จึงมีแต่จะทำให้จิตใจแข็งกระด้างต่อกันและกันมากขึ้น บ่มเพาะผู้คนให้ทำลายกันเอง และรวมทั้งทำลายธรรมชาติมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แปลกไหมที่ดูเหมือนพรรคการเมืองที่มุ่งมั่นจะเป็นรัฐบาลต่อไป ล้วนคิดว่าจะพาประเทศเดินไปสู่จุดนี้ ไม่มีพรรคใดที่ประกาศเพิ่มความดีในสังคม ให้สมดุลกับความพยายามที่จะเพิ่มรายได้ ไม่มีพรรคใดที่มีนโยบายลดทอนความชั่วร้ายต่าง ๆ ในสังคม ให้สมกับที่พยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามเลย เพราะคิดแต่เรื่องมูลค่า ไม่เห็นความสำคัญของคุณค่า จึงพยายามก้าวข้ามความชั่วโดยไม่คิดแก้ไข และยั่วยุให้เห็นเพียงมายาภาพของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โดยไม่ตระหนักถึงผลร้ายที่ตามมา การจะก้าวเดินไปให้มั่นคงนั้น ต้องอาศัยปัจจัยทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม รูปธรรมคือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ และทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงผู้คนได้อย่างพอเพียง ส่วนนามธรรมคือจิตใจและจิตวิญญาณที่สามารถเป็นฐานสร้างความมั่นคงปลอดภัยในการอยู่ร่วมกันได้ เป็นจิตวิญญาณที่มองเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญกว่าเงินทองและการได้มาหรือรักษาไว้ซึ่งอำนาจ รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการดำรงชีพของมนุษย์ด้วย นั่นหมายถึงจิตใจที่คำนึงถึงความจำเป็นและความทุกข์ยากเจ็บปวดของผู้อื่น พร้อมคิดอยากช่วยให้เขาเหล่านั้นได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ร้อน และมีความสุขดังที่ตนเองมี เพราะเมื่อคนส่วนใหญ่มีความสุข สิ่งที่ตามมาก็คือสังคมย่อมสงบร่มเย็น ผู้กุมอำนาจทางการเมืองควรมีจุดหมายอยู่ที่นี่ คือ ดำรงรักษาและสร้างปัจจัยแห่งความมั่นคงทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม แต่การที่พรรคการเมืองมุ่งเดินไปข้างหน้า ทิ้งรอยปริแยกแตกร้าวในสังคมไว้เบื้องหลัง โดยไม่มีการเยียวยาแก้ไขอย่างจริงจัง นับเป็นการทำลายปัจจัยแห่งความมั่นคงลงไปในวันนี้ ซึ่งย่อมไม่อาจพบความมั่นคงได้ในอนาคต ด้านหนึ่งคือการทิ้งให้รอยแผลกลัดหนอง บ่มเพาะจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง มุ่งเอาชนะโดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ แม้อาจสงบลงไปบ้างในบางครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเชื้อแห่งความชิงชังจะตายจากไป มันพร้อมจะฟื้นคืนมาทุกเมื่อ เพียงถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยที่สอดคล้องต้องกันเท่านั้น และปัจจัยที่ว่าก็หาได้ไม่ยากในสังคมที่ผู้ปกครองคำนึงถึงแต่ความมั่นคงของตน แต่ไม่คำนึงถึงความมั่นคงของประชาชน อีกด้านหนึ่ง การกระตุ้นให้เห็นแต่ความมั่งคั่งร่ำรวย ทำให้เกิดการทำลายล้างผลาญธรรมชาติอย่างเอกอุ ทรัพยากรที่สามารถหล่อเลี้ยงอนุชนรุ่นต่อ ๆ ไปได้อย่างไม่มีวันหมด กลับถูกนำมาใช้โดยคนรุ่นปัจจุบันแบบพล่าผลาญฟุ่มเฟือย มิหนำซ้ำผู้ที่ใช้ประโยชน์จากการล้างผลาญนี้ ก็เป็นเพียงคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ขณะที่ผู้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ซึ่งนับวันจะเกิดถึ่ขึ้นและรุนแรงขึ้นก็คือคนส่วนใหญ่ในสังคม ความฟุ่มเฟือยที่เป็นผลพวงของการพัฒนาเชิงวัตถุนิยมตกขอบ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อารยธรรมต่าง ๆ ของโลกในอดีต ล่มสลายมาแล้วมากต่อมาก ซึ่งรัฐบาลที่มีภูมิปัญญาต้องไม่ละเลยที่จะซึมซับบทเรียนเหล่านั้น เราจึงไม่ควรก้าวข้ามความเจ็บปวดของผู้คน เพียงเพราะมุ่งหวังความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และไม่ควรก้าวข้ามความจริงที่ว่า เศรษฐกิจที่ไร้คุณธรรมความดีคอยกล่อมเกลา มีแต่จะบั่นทอนเสถียรภาพและความมั่นคงของสังคมลงไป เศรษฐกิจที่กระตุ้นให้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้คนมองข้ามความดีความชั่ว และการเพิกเฉยต่อสำนึกดีชั่ว ได้ทำให้สังคมมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไป หากยังขืนดันทุรังเดินไปข้างหน้าในสภาพอันบิดเบี้ยวนั้น สังคมก็จะยิ่งพิกลพิการมากขึ้น และแน่นอนมันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง การเผชิญหน้า และความเจ็บปวดสูญเสียมิสิ้นสุด สิ่งที่เราควรนึกถึงในยามนี้ จึงมิใช่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างสังคมให้มีความสมดุลและเที่ยงตรงมากขึ้น เพราะจะทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ทำให้สมดุลและเที่ยงตรงหมายถึงทำให้เกิดความเป็นธรรมและความพอเหมาะพอดี ไม่เอนเอียงไปยังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจนเสียความยุติธรรม ไม่มุ่งเน้นแต่เศรษฐกิจแล้วปล่อยให้สังคมเละเทะ ไม่ส่งเสริมการลงทุนจนกลายเป็นการทำลายล้างธรรมชาติ แต่ไม่อนุรักษ์ธรรมชาติจนประเทศขาดการพัฒนา ไม่ทุ่มเทแสวงหาวัตถุจนลืมการปรับปรุงจิตวิญญาณ แต่มิใช่การเสริมความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณที่ทำให้ขาดส่วนร่วมในการพัฒนา สิ่งเหล่านี้เป็นจริงได้ต้องอาศัยอำนาจทางการเมืองทำหน้าที่ทั้งการกำหนดทิศทาง ขัดเกลาและควบคุม เราจึงไม่ควรปล่อยตัวให้ถูกครอบงำโดยวาทกรรมของนักการเมือง ที่มักวาดฝันให้เห็นแต่ตัวเลขเศรษฐกิจและความมั่งคั่ง กระทั่งบัดนี้ เราไม่รู้ว่าจะให้นิยามความดีและคนดีกันอย่างไร หลายครั้งที่ความดีกลายเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนผันแปรไม่แน่นอน ไม่ใช่เพราะคุณค่าเปลี่ยน แต่เปลี่ยนเพราะเลือกสังกัดพรรคใหม่ อยู่พรรคหนึ่งเป็นคนชั่ว ครั้นพอเปลี่ยนพรรคก็พลันกลายเป็นคนดี ทั้ง ๆ ที่ความคิดและจิตใจยังเปรอะเปื้อนด้วยคราบไคลความชั่วอยู่ ประชาชนจึงควรเป็นผู้กำหนดเป้าหมายของสังคม แล้วเลือกนักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่เป็นกลไกในการเดินไปสู่เป้าหมายนั้น ต้องไม่เรียกร้องหารัฐบาลที่ดี แต่ประชาชนกลับมองเห็นความดีอย่างเลือนลาง อย่างน้อยก็ต้องตระหนักว่าความดีไม่ใช่แค่เพียงคำพูดสวยหรู แต่ต้องประกอบขึ้นจากอุดมการณ์ในชีวิต แล้วแปรเป็นภาคปฏิบัติอันสัมผัสได้ จะเรียกว่าดีจึงไม่ใช่แค่คิดดี แต่มีการกระทำอันเป็นคุณประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ด้วย เลือกตั้งเที่ยวนี้จึงต้องพิจารณาว่ามีไหม คนดีที่ไม่เพียงแต่งดเว้นความชั่ว แต่เป็นคนดีที่ทำคุณประโยชน์แก่สังคมจริง และลงมือยับยั้งห้ามปรามความชั่วที่หมู่คณะของตนทำด้วย คิดและทำได้เช่นนี้ เราก็น่าจะได้รัฐบาลดีที่สามารถนำเราเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net