Skip to main content
sharethis

สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ย้อนหลังไปเมื่อปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งท่วมท้น ได้ ส.ส.247 คน ครั้งนั้นผมเลือกพรรคไทยรักไทย แต่ถัดมาอีก 4 ปี เมื่อพรรคไทยรักไทยได้ 19 ล้านเสียง ส.ส.377 คน ผมเลือกพรรคมหาชน ครั้นเลือกตั้ง 2 เมษา 49 ผม Vote No แต่พอเลือกตั้ง 50 หลังรัฐประหาร ผมเลือกพรรคพลังประชาชน มองย้อนไป ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจว่าตัวเองคิดผิด แม้แต่ครั้งที่ทำคะแนนตกน้ำหายไปกับไอ้หนุ่มซินตึ๊ง เพราะตั้งใจเลือกเพื่อคานอำนาจไทยรักไทย (แบบว่าไม่อยากฝืนใจเลือก ปชป.) ถ้าจะกังขาอยู่หน่อย ก็คือครั้งที่ Vote No เพราะในแง่หนึ่งเหมือนตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายล้มการเลือกตั้ง แต่ทำไงได้ ในเวลานั้น แม้ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร ผมก็ยังเห็นว่าการคัดค้านทักษิณเป็นเป้าหมายหลัก แต่การเลือกตั้งปี 2544 ปี 2550 (ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเลือกออหมัก) และครั้งนี้ ผมไม่มีวันเสียใจแน่นอน มีบางคนเลือกไทยรักไทยปี 2544 แล้วสำนึกเสียใจเมื่อมาต่อต้านทักษิณภายหลัง ผมก็ต่อต้านทักษิณ ตั้งแต่เริ่มเป็นอำนาจนิยม ทุบม็อบท่อก๊าซ มาจนก่อนถูกรัฐประหารในปี 49 แต่ผมไม่เคยเสียใจ และมองย้อนไปตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองถูก ปี 2444 ผมเลือกไทยรักไทยเพราะความเบื่อชวน “คนดี” ที่เชื่องช้า ปลัดประเทศ ผู้ไม่เคยคิดแก้ไขระบบ ไม่เคยแตะต้องปัญหาโครงสร้าง เอาตัวรอดแต่ผู้เดียวกับภาพลักษณ์นายกฯ ลูกแม่ค้าพุงปลา ไม่โกงไม่กิน ไม่ซื้อเสียง ไม่เลี้ยงกาแฟใครแม้แต่แก้วเดียว อาศัยอยู่บ้านเพื่อนซอยหมอเหล็ง ขณะที่นักการเมืองทั้งในพรรคและในรัฐบาล ตลอดจนระบบราชการ ทุจริตฉ้อฉลกันครึกโครม ผมไม่เข้าใจจนบัดนี้ว่านักข่าวจำนวนหนึ่ง ยังกรี๊ดชวนอยู่ได้ไง ชวนเป็นแค่ “ใบบัว” ที่แปะอยู่บนช้างเน่า โดยตัวชวนเองก็เต็มใจและพอใจ ขอเป็นแค่ใบบัวบนช้างเน่า ผมเลือกไทยรักไทย ด้วยความหวังรางๆ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง มีอะไรที่แปลกใหม่บ้าง ให้ตายเถอะ! เหมือนแทงหวยถูก 3 ตัวเต็ง หรือซื้อลอตเตอรีถูกแจคพอต นี่ถ้าเจาะเวลาหาอดีตได้ ถ้าเวียนเทียนได้ ผมคงเวียนเข้าคูหากาเบอร์ 7 ตั้งแต่เช้ายันเย็น เพราะทักษิณ-ผู้มีคุณูปการทั้งด้านตรงด้านกลับ ด้านที่ถูกขับไล่ ด้านที่มีแรงผลักแรงต้าน-ได้ทำให้การเมืองไทย ประวัติศาสตร์ไทย สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเทศทั้งประเทศ เปลี่ยนไปอย่างถอนรากถอนโคน (หรือกำลังจะถอนรากถอนโคน) อย่างที่ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองในชีวิตนี้ (หมดหวังไปแล้วด้วยซ้ำ) นี่ถ้าเป็นคนเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมก็คงร้องว่า พระสยามเทวาธิราชส่งทักษิณมาถูกที่ถูกเวลาดีแท้ๆ แต่ผมเชื่อวิทยาศาสตร์สังคม จึงมองตาม อ.เกษียร เตชะพีระ ว่า “ระบอบทักษิณ” คือทุนเสรีนิยมใหม่ ผู้ร่ำรวยจากโลกาภิวัตน์ ที่ได้คะแนนประชานิยมจากคนยากคนจนคนชนบท ผู้ได้รับผลกระทบจากโลกาภิวัตน์ มาเขย่าโครงสร้างเดิมของสังคมไทย ชนชั้นนำเดิมๆ ทุนผูกขาดเดิมๆ ระบอบอุปถัมภ์เจ้าขุนมูลนาย ที่ครอบงำสังคมอยู่ด้วยอุดมการณ์จารีตนิยม เชิดชูตัวบุคคล ยกย่อง “คนดี” มาปกปิดโครงสร้างที่เน่าเฟะ ใช้คำสอนศีลธรรมจรรยา มาปิดกั้นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่เปิดกว้าง มีเสรี จึงกลายเป็นศีลธรรมปากว่าตาขยิบ แน่นอน ทักษิณไม่ใช่ตัวดี แต่ถ้าไม่ใช่ทักษิณ ก็คงไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วถึงขนาดนี้ เสรีนิยมใหม่อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่อย่างน้อย เสรีนิยมใหม่ก็เปิดทางให้อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยเติบโตได้มากกว่าจารีตนิยม “คนดี” ของจารีตนิยม ล้วนเป็น “คนดี” กว่าทักษิณ ในทางส่วนตัว มีไม่น้อยที่น่าเคารพนับถือ ยกมือไหว้ได้ แต่พวกเขาคือคนที่เชื่อว่าสังคมต้องอยู่ในกรอบ ประชาชนต้องเชื่อผู้หลักผู้ใหญ่ มากกว่าให้ประชาชนเติบโต กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบตัวเอง มากกว่าที่จะสถาปนากฎกติกา บนพื้นฐานของเสรีภาพและความเสมอภาค สังคมไทยต้องการ “วิญญาณกบฎ” “วิญญาณเสรี” เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของวัฒนธรรมจารีต แบบครูยังจับนักเรียนเข้าแถวตรวจผม ตรวจเครื่องแบบ เหมือนสมัยผมเป็นเด็ก 40 ปีก่อน ครูเรียกนักเรียนมาเข้าแถวอบรม “ทำดีเพื่อพ่อ” “โตแล้วไม่โกง” ขณะที่ตัวครูเองกว่าจะได้เป็น ผอ.รอง ผอ.ก็วิ่งเต้นเส้นสาย ประจบสอพลอ เอาหน้า (เว็บไซต์โรงเรียนลูกผมเปิดเจอแต่หน้า ผอ.กลายเป็นเว็บพรีเซนส์ตัวเอง) แต่ “คนดี” ของจารีตนิยมกลัว “วิญญาณกบฎ” เพราะความกลัวว่าโลกใบเก่าๆ ที่พวกเขายึดมั่นจะแตกสลาย “คนดี” ของจารีตนิยมคือคนที่มองว่า โลกสมัยใหม่มันเลวลงไปเป็นรุ่นๆ น่าจะเป็นเพราะสัตว์ชั้นต่ำกลับชาติมาเกิดเป็นคนกันยั้วเยี้ย ทั้งโง่ ถูกซื้อ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า ไร้การศึกษา ไม่อยู่ในศีลในธรรม พวกเขาจึงเกลียดเสรีประชาธิปไตย เพราะพวกเขายอมรับไม่ได้ที่มีหนึ่งเสียงเท่ากับ “คนชั้นต่ำ” ห้าปีที่ผ่านมา “คนดี” ของชนชั้นนำจารีตนิยม ใช้พลังเฮือกสุดท้าย ทำลายล้างเสรีนิยมใหม่ ด้วยอำนาจบารมีที่พวกเขามีอยู่ในกองทัพ ในสถาบันตุลาการ ในระบบราชการ ในสื่อ ในแวดวงวิชาการ โดยปิดกั้นอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ “คนเลวปกครองบ้านเมือง” ทั้งที่ในระหว่างนั้น พวกเขาก็ตอบคำถามไม่ได้ ว่าการใช้ปืน รถถัง และใช้กฎหมายสองมาตรฐาน ทำให้พวกเขายังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า หรือในหมู่พวกเขาเอง เป็นคนดีจริงทั้งหมดหรือเปล่า เพราะเมื่อเลือกข้างแล้วพวกเขาไม่ได้เลือกคน จะห้อย โหน แอบอิงหาผลประโยชน์ เลว ชั่ว คดโกงอย่างไร ไม่เลือกทั้งตัวบุคคลและวิธีการที่จะไปสู่ชัยชนะ อันทิ่จริงก็ไม่ต่างจากระบอบของพวกเขา ระบอบอุปถัมภ์ ที่ครอบงำประเทศนี้มาตลอด คำสอนให้ยึดมั่นคุณธรรมจริยธรรม เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ กลายเป็นเครื่องมือปกป้องระบอบอภิสิทธิ์ชน ซึ่งเมื่อเป็นสังคมปิด มีอภิสิทธิ์ชน มีอำนาจนอกระบบ ระบอบนี้ก็เป็นที่แอบอิงของพวกมือถือสากปากถือศีล ประจบสอพลอ วิ่งเต้นเส้นสาย ใครใกล้ชิดขั้วอำนาจ คนนั้นก็ได้โอกาส พลเอกเปรมปกครองประเทศ 8 ปี ข้างตัวเปรมมีคนดีจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีนักการเมืองและนายทหารที่ร่ำรวยมหาศาลจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ชวนเป็นนายกฯ 2 สมัย ผมเคยชอบที่ชวนปาฐกถาว่าเป็นเด็กยากจนมาจากชนบท เห็นตำรวจ เห็นข้าราชการ รังแกชาวบ้าน แต่ชวนไม่เคยทำอะไรที่เป็นการปฏิรูประบบ นอกจากท่องคาถาหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ฉลาด วรฉัตร อดข้าวเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง ชวนไม่แยแสสนใจ ตั้งกรรมการปฏิรูปการเมืองพอเป็นพิธี จนบรรหาร “ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่” ให้สัญญาประชาคมว่าชนะเลือกตั้งจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นจุดกำเนิดของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 ซึ่งตอนไล่พลเอกชวลิต พวกประชาธิปัตย์ก็กลับมาชูธงเขียวกันได้อย่างหน้าไม่อาย ถามว่าบรรหาร ชวลิต เป็น “คนดี” ไหม ในสายตาคนกรุงคนชั้นกลาง เมื่อเทียบกับชวน ถ้าวันนั้นคนไทยเลือกคนดี (ไม่เลือกเราเขามาแน่) บรรหารไม่ได้เป็นนายกฯ การเมืองไทยคงไม่พัฒนามาถึงขนาดนี้ คำขวัญที่ว่า “เลือกคนดี” ไม่มีอยู่จริง เพราะเอาเข้าจริง ไม่มีคนดีให้เลือก มีแต่คนที่ถูกสร้างภาพขึ้นมาให้เป็น “ใบบัว” อย่างชวน อภิสิทธิ์ ที่เหลือล้วนเป็นตัวแทนกลุ่มทุนระดับชาติและทุนท้องถิ่น การเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ คือเรื่องของการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ ในระบอบที่ต่อเนื่องมาแบบเดิมๆ เราเพียงแต่ต้องจำใจเลือกคนหรือพรรคที่ “เลวน้อยกว่า” แต่นับจากปี 2544 โดยเฉพาะนับจากปี 2550 การเลือกตั้งกลายเป็นเรืองของการเลือกทางยุทธศาสตร์ เลือกเพื่อรักษาระบอบ หรือเลือกเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบ นักการเมืองไม่มีตัวดี พูดอย่างนี้อาจคล้ายพวก Vote No แต่พวก Vote No คือพวกที่สิ้นหวัง ทุกทุกวันจมอยู่กับโรคซึมเศร้า เห็นแต่ความเลวร้ายของการเมือง มันเลวลงไปเป็นรุ่นๆ หมดหวังกับประชาธิปไตย มองไม่เห็นความตื่นตัวของประชาชน หมดหวังกับการเลือกตั้ง หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเกิดรัฐประหารอีกครั้ง ปิดประเทศ ให้ครูจับนักเรียนมาเข้าแถวอบรมศีลธรรมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง กระแสหลักในการเลือกตั้งครั้งนี้มี 3 ส่วนเท่านั้น นอกจากพวก Vote No ผู้น่าสงสาร ก็คือคนชั้นกลางน้ำมันมะกอก ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้ปกป้อง “ระบอบอภิสิทธิ์ชน” โดยคนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็คือผู้เคยเข้าร่วมกับพันธมิตรแต่ลงรถไฟสถานีสุดท้าย ไม่สุดขั้วสุดโต่งไปกับพันธมิตร พวกเขาพอใจแค่มีพรรคประชาธิปัตย์มารักษาระบอบเดิมๆ พรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงซ้อนกัน 3 มิติ มิติหนึ่งคือ “พรรคเลวน้อยกว่า” ผู้ที่จะปกป้องระบอบเดิมๆ อยู่กันไปอย่างนี้ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร อิงอำนาจทหาร อิงอำนาจตุลาการ คำพิพากษาของศาลชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว (เพราะกรูได้ประโยชน์) เราจะไม่ทำเพื่อคนคนเดียว มิติที่สองคือ ความเป็น “พรรคพลังสะตอ” ซึ่งน่าเหนื่อยใจ เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพรรคพลังชลบุรี ขณะที่มิติที่สาม ในจังหวัดอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ นอกภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แตกต่างจากพรรคอื่นคือ เป็นตัวแทนทุนท้องถิ่น แน่นอน พรรคเพื่อไทยก็มีมิติของตัวแทนทุนท้องถิ่น มีความเป็นท้องถิ่นนิยมอยู่จางๆ ในจังหวัดภาคเหนือตอนบน แต่มิติที่สำคัญที่สุดคือ ความเป็นตัวแทนของคนชนบท คนชั้นล่าง ที่ต้องการสิทธิเสมอภาคทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการตอบโต้อำนาจรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ที่ล้มล้างรัฐบาลที่พวกเขาเลือกเข้าไป ด้วยปืน รถถัง และความยุติธรรมสองมาตรฐาน พูดได้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของการต่อสู้เพื่อเสรีประชาธิปไตย แม้เป็นเพียงปรากฏการณ์เฉพาะหน้า เป็นสิ่งสัมพัทธ์ เพราะธาตุแท้ของพวกเขาคือทุนเสรีนิยมใหม่ คือทุนท้องถิ่น คือนักการเมืองกเฬวราก แต่เฮ้ย นักการเมืองกเฬวรากมันก็แน่เหมือนกัน มันยังสู้ ทั้งรู้ว่าสู้กับใคร ถ้าไม่แน่จริง ไอ้พวกนี้มันคงย้ายพรรคไปซบภูมิใจไทยแล้ว มันจึงเป็นปรากฏการณ์ประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ ที่ผมจะได้ประกาศอย่างเต็มปากภาคภูมิว่า เฮ้ย การเลือกตั้งครั้งนี้ผมจะเลือกคนเลว ไชโย ดีใจจริงๆ ที่เกิดมาชาติหนึ่ง ยังมีโอกาสได้เลือกคนเลว สนุกสนานเฮฮากับการเลือกคนเลว เพราะอย่างน้อยก็ยังได้ใช้สิทธิกวน teen อำมาตย์ ขุนทหาร ตุลาการ ผู้มีศีลธรรมจรรยาสูงส่งทั้งหลาย ที่เก๊กท่าหน้าขรึมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้รักชาติบ้านเมืองแต่ผู้เดียว เพราะอย่างน้อย นักการเมืองเลวๆ ที่ต่อให้มันคิดทำเพื่อ “นายใหญ่” คนเดียว ไม่ได้แยแสประชาชนคนเสื้อแดงอย่างจริงใจ มันก็ต้องเข้าไปรบรากับอำนาจจารีต ซึ่งเปิดทางให้เสรีประชาธิปไตยอยู่ในตัว หลังจากนั้น จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน เพราะแค่นี้ก็สะใจพอแล้ว เพียงหวังว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่จนเห็นสังคมเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าประชาธิปไตยกลับมาเต็มใบ ผมคงไม่จำเป็นต้องเลือกเพื่อยุทธศาสตร์ ผมอาจจะเลือกตามใจชอบ เลือกเสี่ยอ่าง เลือกคนบ้าๆบอๆ เลือกหนุ่มหล่อ เลือกสาวสวย หรือ Vote No หรือไม่ไปเลือกตั้งแม่-เลย ตามประสาคนชั้นกลางที่ไม่เห็นจะต้องไปเลือกตั้ง เพียงแต่การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกเพื่อยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน คนไทยมีทางเลือกแค่ 3 ทางคือ ถ้าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง เลือกพรรคเพื่อไทย ถ้าอยากให้ทุกอย่างอยู่แบบเดิมๆ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าอยากถอยหลัง ก็เข้าคูหากา Vote No ใบตองแห้ง 26 มิ.ย.54

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net