Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการห้ำหั่นกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ มากมายหลายพรรคราวกับเป็นการแข่งขันกีฬาก็มิปาน แต่ทว่าพรรคที่น่าจับตามองทั้งสองพรรคก็คงไม่พ้นพรรคการเมืองพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากเวลา 15.00 นาฬิกาของวันที่ 3 กรกฎาคมนั้น ผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการได้บ่งชี้ถึงคะแนนนำละลิ่วของพรรคเพื่อไทยที่มีต่อพรรคคู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์ แน่นอนกองเชียร์ของพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้ง “กองแช่งพรรคเพื่อไทย” ซึ่งส่วนมากมีฐานะเป็นชนชั้นกลางของสังคมได้แสดงอากัปกิริยาอันบ่งบอกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อผลการเลือกตั้ง ซึ่งหลายๆคนได้ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นช่องทางในการระบายความรู้สึกและความคิดเห็นต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุคหรือว่าเว็บบอร์ดการเมืองต่างๆ ตัวอย่างของอาการผิดหวังที่ผู้เขียนพบเห็นได้แก่: “Rip Thailand”—ประเทศไทยจงไปสู่สุคติ “Thailand= Fucked up”—ประเทศไทย=เน่าเฟะแล้ว “Goodbye Democracy…Hello Corruption”—ลาก่อนประชาธิปไตย...สวัสดีความเสื่อมทราม “ไว้อาลัยประเทศไทย” “ทำไมคนอีสานถึงมากำหนดชะตาของประเทศไทยได้ด้วย” (หลังจากนั้นก็มีคนมาตอบว่า) “เพราะคนไทยมีพวกโง่มากกว่าฉลาด และคนฉลาดยอมเป็นขี้ข้าคนโง่ คงมีประเทศเดียวในโลกนี้” จากการตั้งข้อสังเกตของผู้เขียน การแสดงออกของกลุ่มคนเหล่านี้บ่งบอกวิธีคิดของกลุ่มชนชั้นกลางบางกลุ่มของสังคมไทยที่ได้กล่าวถึง ห้าประโยคข้างต้นซึ่งผู้เขียนยกมานั้น เหล่าชนชั้นกลางดังกล่าวผู้ทรงภูมิปัญญาอธิบายชัยชนะของพรรคเพื่อไทยราวกับจะฉุดกระชากลากถูประเทศไทยลงเหวอันมีแต่ความฉิบหายรออยู่ กล่าวคือคนกลุ่มนี้มองโลกทางสังคมว่ามีความจริงเพียงหนึ่งเดียวนั้นเอง และความจริงดังกล่าวในการรับรู้ของชนชั้นกลางเหล่านั้นก็มิใช่อื่นใดหากแต่พรรคเพื่อไทยนั้นคือกล่องแพนโดร่า ความหายนะและอาเพศที่จะอุบัติขึ้น ล้วนแล้วแต่มีบ่อเกิดมาจากชัยชนะของพรรคเพื่อไทย เมื่อกลุ่มคนกลุ่มนี้ชี้ชัดฟันธงไปถึงความจริงเพียงหนึ่งเดียวอันอุบัติขึ้นในโลกของสังคมนั้น ก็เป็นเหตุให้ลดทอดตัวเลือกเหลือเพียงแค่ “เชื่อแบบเรา=ถูก” และ “เชื่อแบบเขา=ผิด โง่ และเลว” วิธีคิดดังกล่าวนั้น นักคิดอย่าง ไมเคิล ชาพิโร (Michael J. Shapiro) เรียกขานว่า “การเมืองแห่งการปิดประตู” (politics of closure) กล่าวคือเป็นวิธีคิดซึ่งบีบบังคับให้ผู้คนมองเห็นความเป็นจริงอยู่เพียงแค่อย่างเดียว โดยการแบ่งโลกออกเป็นเพียงแค่ “เรา” และ “เขา” เท่านั้น อันที่จริงแล้ว โลกของสังคมนั้นปราศจากความนิ่ง (Non-static) หากแต่มีการผันผวน เปลี่ยนแปลง และเคลื่อนย้าย อยู่เป็นนิจ ดังนั้นเมื่อโลกของสังคมปราศจากความนิ่ง นั่นก็หมายความว่าโลกนี้ปราศจากความจริงทางสังคมเพียงหนึ่งเดียว (Truth) เนื่องมาจากว่านักสังคมศาสตร์ไม่สามารถที่จะจับต้องสิ่งที่ผันผวนรวนเรอยู่ตลอดเวลาซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถคิดค้นทฤษฎีครอบจักรวาลซึ่งสามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกันกับทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้ ดังที่ คาร์ล ปอบเปอร์ (Karl Popper) ได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์นักวิชาการมาร์กซิสต์ในการพยายามรับญาณวิทยาของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาใช้ ซึ่งนักวิชาการมาร์กซิสต์เหล่านั้นพยายามหากฎครอบจักรวาลซึ่งนำมาสู่การปฏิวัติชนชั้นนั่นเอง โดยที่ข้อถกเถียงของปอบเปอร์นั้นก็คือ โลกทางสังคมมีความแตกต่างจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสองประการ ประการแรกซึ่งได้กล่าวไปแล้วนั่นก็คือทางด้านความนิ่ง (Stationary—คำที่ปอบเปอร์เลือกใช้) ประการที่สองก็คือ ในโลกทางสังคมนั้นแบบแผน (Patterns) ต่างๆมิได้เกิดขึ้นอย่างซ้ำไปซ้ำมาในแบบเดียวกัน (Repetitiveness) ดังที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ต่างๆตามธรรมชาติ โดยปอบเปอร์ได้ยกตัวอย่างการคาดคะเนการเกิดของจันทรุปราคา (ดู Karl Popper, “Prediction and Prophecy in the Social Sciences”, http://keidahl.terranhost.com/Fall/HIS3104/Popper%20Prediction%20and%20Prophecy.pdf) จากเหตุผลที่ผู้เขียนได้สาธยายข้างต้น เป็นเหตุให้คิดได้ว่าไม่มีความจริงเพียงหนึ่งเดียวในโลกทางสังคม (truths) ดังที่ชนชั้นกลางบางกลุ่มได้แสดงออกหลังจากที่ได้รับรู้ผลการเลือกตั้ง หากแต่ความเห็นที่ชนชั้นกลางดังกล่าวมีต่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นเพียงความเห็นธรรมดาเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้น หาได้มีความวิเศษวิโสอันหรือญาณในการหยั่งรู้อนาคตอย่างใดทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่า ความพยายามของชนชั้นกลางบางกลุ่มในการผูกขาดความจริงนั้น ได้ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง ครั้งหนึ่งก็เมื่อครั้งก่อนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ย้อนกลับไปก่อนที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 นั้น ชนชั้นกลางกลุ่มดังกล่าวมีความคิดที่ว่าถ้าหากนายอภิสิทธิ์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วไซร้ ปัญหาการทุจริตโกงกินและความวุ่นวายทางการเมืองต่างๆ จะอันตรธานหายไปราวกับใช้เวทมนตร์ แม้กระทั่งประธานองคมนตรีอย่างพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ยังเคยชมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าเป็นคนหนุ่มและจะแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศชาติได้ (http://www.chaoprayanews.com/2009/08/25/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87/) แต่ทว่าเมื่อนายอภิสิทธิ์ได้เข้ามาบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี ปัญหาทุจริตโกงกินกลับมิได้อันตรธานหายไปดั่งที่ชนชั้นกลางบางกลุ่มได้คาดหวังไว้ ดังที่จะเห็นได้จากการทุจริตนมโรงเรียนในช่วงที่นายอภิสิทธ์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน ส่วนปัญหาทางด้านความวุ่นวายทางการเมือง ก็มิได้หายไป แต่ที่แย่กว่านั้น ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น วิกฤตการณ์และความขัดแย้งทางการเมืองกลับมิได้ถูกแก้ปัญหา ที่ร้ายไปกว่านั้น ยังมีการใช้กำลังทหารอย่างรุนแรงในการปราบกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงในปีพฤษภาคม พ.ศ. 2553 อีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นผลให้กลุ่มชนชั้นกลางผู้ให้ความเห็นอันสูงส่งต่อการดำรงตำแหน่งของนายอภิสิทธิ์นั้นกลับลำ ซึ่งนำไปสู่การชุมนุมประท้วงต่อต้านนายอภิสิทธิ์อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน อย่างที่เห็นได้จากนาย สนธิ ลิ้มทองกุล และนายประพันธ์ คูณมี ผู้เคยให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างดี ยกย่องรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ว่า “เลวกว่าทุกรัฐบาลตั้งแต่ประเทศไทยมีมา” (http://mgr.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000030316) จากสิ่งที่ได้กล่าวมา ผู้เขียนได้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า คนชั้นกลางเหล่านี้ ผู้ซึ่งเที่ยวโพนทะนาด่าผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยว่าเป็นคน “โง่” นั้น จากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปี ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายมายืดยาวนั้น เป็นเหตุให้ผู้เขียนตั้งคำถามกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วกลุ่มใดกันแน่ที่ “โง่” ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวมาทั้งหมด มิได้เพียงแค่วิจารณ์ “กองแช่งพรรคเพื่อไทย” หากแต่มีจุดประสงค์ที่จะวิจารณ์ผู้ที่ลดทอนตัวเลือกต่างๆ จนเหลือเพียงความเป็น “เขา” กับ “เรา”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net