“รสนา โตสิตระกูล” พยานจำเลยปากสุดท้าย คดี “วัชรี เผ่าเหลืองทอง” เอ็นจีโอด้านพลังงานถูกฟ้องหมิ่นประมาท เบิกความย้ำกระบวนการโครงการโรงไฟฟ้าขาดธรรมาภิบาล เผย สว.ก็เล็งตรวจสอบ ด้านศาลนัดฟังคำตัดสิน 20 ม.ค.นี้
วานนี้ (1 ธ.ค.54) ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยาน นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร พยานจำเลยปากสุดท้าย คดีหมายเลขดำ อ.3151/2552 ที่บริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำกัด เจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา โดยนายบุญชัย เจียมจิตจรุง ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้อง นางสาววัชรี เผ่าเหลืองทอง เอ็นจีโอด้านพลังงาน ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
คดีดังกล่าวโจทย์ระบุว่า ถูกนางสาววัชรีใส่ความว่าได้ร่วมมือและมีผลประโยชน์กับข้าราชการในกระทรวงพลังงานหรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อให้ได้สัมปทานการประมูลสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซขนาด 1,600 เมกะวัตต์ ที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา จากการให้สัมภาษณ์ออกอากาศในรายการคมชัดลึก ของสถานีโทรทัศน์เนชั่น ชาแนล เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.52 โดยมีการอ้างถึงเอกสารจากการประชุมของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา
ยันเอกสารที่ถูกใช้อ้างอิง เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้
นางสาวรสนา ขึ้นเบิกความถึงการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภาว่า มีการรับเรื่องร้องเรียนกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ขาดธรรมาภิบาลหลายเรื่องรวมถึงกรณีโรงไฟฟ้าบางคล้าด้วย และกระบวนการหลังจากรับเรื่องแล้วจะมีการศึกษาข้อมูล โดยเชิญผู้มีความรู้ ซึ่งรวมถึงเอ็นจีโอด้านพลังงานมาให้ข้อมูล และมีการตรวจสอบข้อมูลโดยเชิญส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วย
สำหรับเอกสารที่นางสาววัชรีนำไปเผยแพร่ในรายการคมชัดลึกโดยระบุว่าได้มาจากการประชุมคณะกรรมาธิการฯ นั้น เป็นของนักวิชาการอิสระท่านหนึ่งที่ถูกเชิญมาร่วมพูดคุย โดยเป็นข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ย้ำซ้ำกระบวนการขาดธรรมาภิบาล การพูดเป็นประโยชน์สาธารณะ
นางรสนากล่าวด้วยว่า จากการอ่านเอกสารถอดเทปรายการคมชัดลึก เห็นว่าสิ่งที่นางสาววัชรีพูดเป็นการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการในการอนุมัติแผนรับซื้อไฟและข้าราชการที่มีอำนาจในการอนุมัติและทำสัญญา ส่วนการกล่าวถึงบริษัทโจทย์นั้นเป็นเพียงองค์ประกอบการตัดสินใจ และข้อมูลที่นางสาววัชรีนำเสนอในเรื่องการเซ็นต์สัญญารับซื้อไฟทั้งที่ยังไม่ผ่านรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) นั้นเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง ข้ามขั้นตอน ขาดธรรมาภิบาล เป็นประเด็นที่กรรมมาธิการฯ จะตรวจสอบต่อไป
ประธานคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา กล่าวแสดงความเห็นว่า การพูดออกรายการของนางสาววัชรีนั้นเป็นประโยชน์ เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้สาธารณะชนได้เห็น ทำให้หน่วยงานรัฐตระหนักว่ากระบวนการที่ขาดธรรมาภิบาลต้องถูกตรวจสอบจากสังคม
แจงความไร้ธรรมมาภิบาล ในกระบวนการอนุมัติสร้างไรงไฟฟ้า
นางสาวรสนา ให้ข้อมูลด้วยว่า จากการศึกษากระบวนการอนุมัติให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในหลายพื้นที่ ของคณะกรรมาธิการฯ พบว่า กระบวนการขาดธรรมาภิบาลเนื่องจาก อีไอเออยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แต่การการอนุมัติอนุมัติก่อสร้างโรงไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟ เป็นเรื่องของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเปิดช่องให้บริษัทเอกชนจ้างบริษัทที่ปรึกษามาทำอีไอเอ โดยมีเงื่อนไขจ่ายเงินค่าจ้าง 50 เปอร์เซ็นต์หลังจากอีไอเอผ่านการอนุมัติ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าขาดความเป็นกลางในการพิจารณา และได้เสนอไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยน
นอกจากนี้ การทำสัญญาสร้างโรงไฟฟ้าที่ผูกติดกับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ไม่สอดรับกับกรณีที่มีการตกลงจัดซื้อไฟฟ้าก่อนที่จะบรรจุในแผน โดยพบว่ามีการตกลงล่วงหน้าและเข้าดำเนินการในพื้นที่ก่อนที่อีไอเอจะผ่านการเห็นชอบ ซึ่งนำมาสู่ข้อขัดแย่งกับประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน ข้าราชการในบริษัทเอกชน เป็นปัญหาสำคัญ
นางสาวรสนา ให้ข้อมูลต่อมาว่า ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศไทย มีปัญหาที่เป็นหัวใจสำคัญคือการที่ข้าราชการระดับสูงที่ดำรงตำแหน่งกรรมการรับวิสาหกิจ เข้าไปดำรงตำแหน่งในบริษัทลูกซึ่งเป็นบริษัทเอกชน หรือบริษัทร่วมทุน โดยที่กฎหมายเปิดช่องให้ ซึ่งตรงนี้ผลตอบแทนจากบริษัทเอกชนที่สูงกว่าเงินเดือนที่ได้รับในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ จึงทำให้เกิดประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นอุปสรรค์ต่อการตรวจสอบ
ในประเด็นนี้คณะกรรมาธิการได้จัดทำเป็นข้อเสนอเพื่อการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยได้มีรายงานการศึกษา “เรื่องการศึกษาและตรวจสอบธรรมาภิบาล กรณีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานของรัฐ กับบทบาทกรรมการในบริษัทเอกชนด้านพลังงาน” จัดทำเป็นเอกสารผ่านที่ประชุมวุฒิสภาแล้ว และถูกส่งไปยังสำนักงานและหน่วยงานที่เกี่ยวของเพื่อให้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการสืบพยาน ศาลนัดหมายให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลภายใน 30 วัน และนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค.55 เวลา 9.00 น.
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์เดียวกัน บริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำกัด ยังได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งนางสาววัชรี เรียกร้องค่าเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ให้รอจนกว่าการพิจารณาคดีอาญาแล้วเสร็จ และจะมีการนำผลคำพิพากษานั้นมาแถลงต่อศาลจึงจะนัดพร้อมเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)