ไชยันต์ ไชยพร ‘ปัญหาประชาธิปไตย: การใช้เสียงมหาชนแบบไหนที่ทำลายประชาธิปไตย ?’

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

โดยปรกติ การขับเคลื่อนด้วยเสียงประชาชนหรือประชามติถือเป็นพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งของประชาธิปไตย การทำประชามติจึงเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย เพราะเป็นกลไกที่เปิดให้ประชาชนพลเมืองได้ร่วมกันตัดสินใจในเรื่องราวสาธารณะได้โดยตรง เพื่อที่จะรับหรือไม่รับข้อเสนอใดข้อเสนอหนึ่งที่มีการเสนอขึ้นมา เช่น ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างกฎหมาย รวมทั้งการถอดถอนนักการเมืองหรือนโยบายรัฐบาล และการเลือกตั้งก็ถือเป็นการทำประชามติอย่างหนึ่งเพื่อให้พลเมืองตัดสินใจว่าจะเลือกนโยบายและแนวทางการบริหารประเทศของพรรคการเมืองใด แต่ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ ก็มีการทำประชามติที่กลับขัดแย้งหรือทำลายหลักการประชาธิปไตยเสียเอง และกรณีศึกษาที่นักวิชาการทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์น่าจะได้ผ่านหูผ่านตาไม่มากก็น้อยก็คือ การทำประชามติในสมัยฮิตเลอร์ ในปีเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๓๓ ฮิตเลอร์ได้เริ่มใช้การทำประชามติครั้งแรกในระบอบของเขาต่อกรณีที่เขาต้องการจะให้เยอรมนีถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติภายใต้บรรยากาศอันร้อนระอุของความรู้สึกชาตินิยมของคนเยอรมัน ซึ่งผลการลงคะแนนเสียงท่วมท้นถึงร้อยละเก้าสิบห้าสนับสนุนการถอนตัวดังกล่าว ขณะเดียวกัน ฮิตเลอร์ก็ถือโอกาสใช้เสียงประชามติที่สนับสนุนญัตตินโยบายต่างประเทศดังกล่าวเชื่อมโยงกับนโยบายภายในประเทศของเขาด้วย กล่าวได้ว่า การทำประชามติครั้งแรกนี้ถือเป็นหมากการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในกระบวนการขับเคลื่อนสู่การรวบอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จของเขาในเวลาต่อมา (Joachim Fest, Hitler, New York: 1974: pp. 438-9) ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๔ ก่อนการเสียชีวิตของประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์กในวันที่ ๒ สิงหาคม เพียงหนึ่งวัน ฮิตเลอร์ได้ให้คณะรัฐมนตรีของเขาเสนอกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐไวมาร์ที่เดิมทีกำหนดไว้ว่า เมื่อประธานาธิบดีเสียชีวิต จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ แต่กฎหมายที่เสนอมานั้นกลับกำหนดให้ควบรวมสองตำแหน่งไว้เข้าด้วยกัน นั่นคือ ทั้งตำแหน่งประธานาธิบดี (president) และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (chancellor) ซึ่งตำแหน่งหลังนี้เป็นตำแหน่งที่ฮิตเลอร์ดำรงอยู่แล้วขณะนั้น อีกทั้งกฎหมายนี้ได้ยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีไป และกำหนดให้มีตำแหน่งประมุขของรัฐ (head of state) ที่ดำรงตำแหน่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “ผู้นำ (Führer)” และนายกรัฐมนตรี (Reichskanzler) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอยู่เดิม และฮิตเลอร์ได้จัดให้มีการลงประชามติรับรองร่างกฎหมายควบรวมอำนาจสองตำแหน่ง และรับรองตัวเขาให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ ซึ่งผลการลงคะแนนเสียงประชามติครั้งนี้ ร้อยละ ๘๔.๖ เห็นด้วยกับร่างกฎหมายและรับรองให้ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ควบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยในฐานะของประมุขของรัฐดังกล่าวนี้ ฮิตเลอร์ก็ได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกด้วย ใน Journal of Historical Review, Fall 1992 แห่ง Institute of Historical Review ลีออง เดอเกร็ล (Leon Degrelle: 1906-1994: ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น วีรชนทหารในสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นผู้นำทางการเมืองและเป็นนักประวัติศาสตร์) ได้เขียนบทความเรื่อง “ฮิตเลอร์ควบรวมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในเยอรมนีและทำการปฏิวัติสังคมได้อย่างไร: ช่วงแรกของอาณาจักไรซ์ที่สาม” (How Hitler Consolidated Power in Germany and Launched A Social Revolution : The First Years of the Third Reich) ตอนหนึ่งในบทความของเขา เขากล่าวว่า “ฮิตเลอร์ได้เคยกล่าวไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่เผด็จการ และไม่มีวันเป็น ด้วยพรรคสังคมชาตินิยมจะเสริมสร้างพลังให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง’” และเดอกร็ลได้เขียนบรรยายต่อไว้ว่า “อำนาจอันชอบธรรมไม่ได้หมายถึงระบอบทรราชย์ ทรราชคือคนที่ขึ้นสู่อำนาจโดยปราศจากซึ่งเจตน์จำนงของประชาชน หรือขึ้นสู่อำนาจโดยขัดต่อเจตน์จำนงประชาชน นักประชาธิปไตยขึ้นสู่อำนาจโดยประชาชน และประชาธิปไตยก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องมีแบบเดียว มันอาจจะเป็นประชาธิปไตยรัฐสภา (parliamentary) หรือประชาธิปไตยของพวกเดียวกันหมด (partisan) หรือมันอาจจะเป็นประชาธิปไตยที่มีผู้มีอำนาจคนเดียวเบ็ดเสร็จ (authoritarian) ก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ มันจะต้องมาจากความต้องการปรารถนาของประชาชน---เป็นสิ่งที่ประชาชนเลือกและสถาปนานมันขึ้นมา และนี่ก็คือกรณีของฮิตเลอร์ เขาขึ้นสู่อำนาจด้วยวิถีทางแบบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ แต่นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และหลังจากมีอำนาจแล้ว ประชาชนก็ยังให้ความนิยมสนับสนุนเขาเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี....แม้แต่นักประวัติศาสตร์ที่ประกาศตัวเองว่าต่อต้านนาซีอย่างศาสตราจารย์เฟสต์ ยังยอมรับว่า “ฮิตเลอร์ไม่เคยสนใจที่จะสร้างระบอบทรราชย์ ความกระหายอำนาจอย่างรุนแรงไม่เพียงพอที่จะอธิบายบุคลิกภาพตัวตนและพลังในตัวเขา ฮิตเลอร์ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นเพียงทรราช (เน้นโดยผู้เขียน) เขายึดแน่นกับปณิธานที่จะปกป้องยุโรปและเชื้อชาติอารยัน....เขาไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเขาต้องขึ้นอยู่กับปวงประชามหาชนเหมือนอย่างที่เขารู้สึกครั้งนั้น เขาเฝ้ารอดูปฏิกิริยาของปวงประชามหาชนด้วยความกระวนกระวาย (J. Fest, Hitler, p. 417.)” ถ้าการเลือกตั้งเพื่อแสดงประชามติครั้งนั้นเป็นประชาธิปไตย แต่มันก็ได้นำพาให้การเมืองเยอรมันเข้าสู่ระบบการเมืองที่มีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ผู้เดียว และด้วยตำแหน่งดังกล่าวนี้เองทำให้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ในขณะนั้น ได้กล่าวว่า ผลการลงประชามติครั้งนั้นทำให้ฮิตเลอร์มีอำนาจมากกว่าผู้นำคนใดๆในโลกสมัยใหม่ในขณะนั้น เพราะฮิตเลอร์มีอำนาจมากกว่าสตาลินของรัสเซียและมากกว่ามุสโสลินีในอิตาลีด้วย หรือถ้าเปรียบเทียบย้อนไปในอดีต ถือว่าไม่เคยมีใครสามารถมีอำนาจมากเท่าฮิตเลอร์นับตั้งแต่สมัยเจงกีสข่าน ! (http://www.nytimes.com/learning/general/onthisday/big/0819.html) และแน่นอนว่า นับตั้งแต่ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจสมบูรณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครและกลไกใดที่จะสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติและตุลาการของเขาได้เลยยกเว้นการพยายามลอบสังหารหรือการพ่ายแพ้สงครามและการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์เท่านั้น จริงอยู่ที่ “การเลือกตั้งเป็นพื้นฐานขั้นต่ำของประชาธิปไตย” แต่การใช้พลังประชามติและเจตน์จำนงประชาชนของฮิตเลอร์ครั้งนั้นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในบางครั้ง ประชามติเสียงข้างมากอาจจะนำมาซึ่งผลที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงได้ และมันได้กลายเป็นบทเรียนที่นำมาซึ่งการวางหลักการในทางวิชาการและในทางปฏิบัติที่จะกำหนดตัวบทรัฐธรรมนูญไม่ให้มีการใช้ประชามติหรือการเลือกตั้งในการรับรองตัวบุคคลและการออกกฎหมายซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่จะต้องคงไว้ซึ่งหลักสิทธิเสรีภาพ การแบ่งแยกอำนาจและหลักนิติรัฐ และในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ม. ๒๑๔ ได้บัญญัติไว้ว่า “การออกเสียงประชามติที่เกี่ยวกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลใดคณะบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ จะกระทำมิได้” แน่นอนว่า ในรายละเอียด การยุบสภาโดยจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อหลีกเลี่ยวการตรวจสอบข้อกล่าวหาซื้อขายหุ้นของครอบครัวของคุณทักษิณ ชินวัตรในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ย่อมไม่เหมือนการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเพื่อควบรวมอำนาจและสถาปนาตัวเองของฮิตเลอร์ในปี ค.ศ. ๑๙๓๔ เพราะฮิตเลอร์ทำประชามติขอเสียงประชาชนเพื่อต้องการขึ้นสู่การมีอำนาจสมบูรณ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ผู้เดียว ส่วนคุณทักษิณยุบสภาจัดการเลือกตั้งขอเสียงประชาชนเพื่อต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป โดยหวังใช้เสียงประชาชนเป็นตัวตัดสินว่า เขาผิดตามข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นหรือไม่ ? และสมควรจะกลับมามีอำนาจต่อไปหรือไม่ ? แน่นอนว่า เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองตะวันตกสมัยใหม่ว่า กรณีการทำประชามติในแบบของฮิตเลอร์ไม่สมควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่สำหรับกรณีคุณทักษิณ คำถามคือ เมื่อมีข้อกล่าวหาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเกิดขึ้น เขาผู้นั้นควรจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตามกลไกที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย (๒๕๔๐) ? หรือกลับแทรกแซงกลไกต่างๆและยุบกลไกสุดท้าย (สภาผู้แทนราษฎร) ที่จะสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบได้ในขณะนั้นที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย (๒๕๔๐) และโยนข้อกล่าวหาของตนให้ตัดสินโดยประชามติของปวงประชามหาชน ?

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท